พาลเพราะไม่รู้
พาลก็คืออกุศลธรรม ซึ่งมีความไม่รู้เป็นเหตุ ดังนั้นขณะที่ไม่รู้ความจริงก็เป็นพาล และจะพ้นจากความเป็นพาลได้ก็ด้วยการอบรมปัญญาเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง
ท่านอาจารย์ พาลคือคนไม่รู้ ไม่ว่าไม่รู้เกิดเมื่อไร หรือหญิงหรือชาย หรือใครเลยทั้งสิ้น พระธรรมที่ทรงแสดงต้องรู้ว่า เพื่อให้เข้าใจความจริงว่าไม่มีเรา แต่มีธรรม ถ้ายิ่งมีความเข้าใจธรรมมากเท่าไร ความประพฤติทางกาย วาจาดีขึ้น จากขณะที่ไม่รู้ สนใจที่จะเข้าใจในคำว่าไม่รู้หรือเปล่า ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ข้อความที่กล่าวเมื่อสักครู่นี้ ไม่ว่าจะการที่ล่วงอาบัติโดยนัยยะประการใดๆ ทั้งหมด ก็เพราะไม่รู้ ทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะคฤหัสถ์ หรือฆราวาส หรือเดี๋ยวนี้เอง ขณะนี้ก็ไม่รู้ ขณะที่ไม่รู้ก็ต้องเป็นไม่รู้
ในขณะที่เริ่มฟังเข้าใจธรรม ขณะนั้นไม่ใช่ไม่รู้ ก็เริ่มที่จะเป็นบัณฑิต แต่ยังไม่ถึงความที่จะรู้จริงๆ ก็ยังไม่ใช่บัณฑิตที่ถึงการเป็นพระอริยบุคคล แต่พระธรรมทั้งหมด ๔๕ พรรษาที่ทรงแสดงโดยนัยยะเกื้อกูล ไม่ว่ากับบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ ซึ่งจะต้องรู้ว่าประโยชน์ที่ได้รับจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือ ความเข้าใจ จิตที่มีในแต่ละคน แต่ละคนก็มีแต่ละหนึ่งจิต ใครจะขัดเกลาจิตของคนอื่นได้ไหม ก็ไม่ได้ แต่ถ้ามีความกรุณา มีความเมตตา มีความเป็นมิตร ก็ขัดเกลา ด้วยการที่ทรงแสดงอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงแสดงให้ได้ฟังคำของพระองค์ทั้งหมด ทั้งพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม เพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีจริงเดี๋ยวนี้ทั้งหมด ถ้าอ่านดูแล้ว ขณะใดที่ไม่รู้ ขณะนั้นก็คือพาล ไม่ว่าจะการกระทำใดๆ ทั้งสิ้น
อ.อรรณพ พาลก็ต้องเป็นพาล บัณฑิตก็ต้องเป็นบัณฑิต เปลี่ยนไม่ได้ ใช่หรือไม่
ท่านอาจารย์ ในพระไตรปิฎกทรงแสดงไว้หรือเปล่าว่า มีภิกษุ ๒ จำพวก หรือว่าทุกคน พระภิกษุทุกรูป ต้องประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย พระธรรมวินัยเป็นใหญ่ ไม่ใช่ชื่อเป็นใหญ่ แต่พระธรรมวินัยเป็นใหญ่ว่า ผู้นั้นมีความเข้าใจหรือเปล่า ในการเป็นภิกษุ เป็นผู้จริงใจ ในการเป็นภิกษุหรือเปล่า เพราะว่าไม่ต้องเป็นภิกษุก็ฟังธรรมได้ เข้าใจธรรมได้ อบรมเจริญปัญญาได้
พระธรรมวินัยที่จะให้เป็นผู้ที่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจว่า แม้พาล และบัณฑิต ก็ไม่ใช่เรา แต่ต้องเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ขณะใดที่ไม่รู้ ขณะนั้นเป็นพาล การกระทำอกุศลใดๆ ทั้งหมด เพราะไม่รู้ ต้นเหตุก็คือเป็นผู้เขลา เป็นผู้งมงาย เป็นผู้ไม่รู้ประโยชน์ ต้องทราบว่าความจริงใจสำคัญที่สุด สัจจบารมี แม้แต่การที่จะฟังธรรมก็ต้องจริงใจ ฟังทำไม ทำไมไม่ไปเที่ยว ทำไมไม่ไปทำธุระ ทำไมไม่ไปสนุกสนานรื่นเริง แต่ฟังธรรมเพื่ออะไร
ธรรมเป็นสิ่งที่ตรงมาก ฟังธรรมเพื่อเข้าใจความจริง ซึ่งถ้าไม่มีการได้ยินได้ฟังชื่อพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เราจะฟังธรรมหรือไม่ ฟังจากใคร ฟังจากที่ไหน ก็ไม่มี แต่ว่าผู้ที่ได้ยินได้ฟังคำนี้ และเห็นประโยชน์อย่างยิ่งของชีวิต ว่ามีโอกาสได้ฟัง แม้เพียงชื่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะคือผู้รู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้รู้แจ้ง ผู้ทรงตรัสรู้ แล้วคนที่เพียงได้ยินชื่อ ก็ยังไม่รู้เลยว่าพระองค์มีคุณมากมายแค่ไหน แต่ด้วยความจริงใจ เป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ ขณะนั้นไม่ใช่พาล เพราะรู้ว่าตัวเองไม่รู้ แต่ถ้าเป็นพาลก็คือว่าขณะนั้นเป็นอกุศล แล้วก็ไม่รู้จริงๆ ว่าขณะนั้น เป็นอกุศล
ด้วยเหตุนี้ขณะใดก็ตามที่จิตเป็นพาล เป็นอกุศล คนนั้นกำลังเป็นพาลจึงไม่รู้ ต้องเมื่อไรที่รู้ว่าตัวเองไม่รู้มากมายแค่ไหน ถ้าไม่เคยฟังพระธรรมเลยจะไม่รู้เลยว่ามากมายแค่ไหน แต่เมื่อฟังแล้วแต่ละคำชัดเจนว่าไม่รู้ เช่นธรรมซึ่งเป็นสภาพรู้ หรือธาตุรู้ คือจิต และเจตสิก เดี๋ยวนี้ใครรู้ แม้แต่สูตรหนึ่งสูตรใดก็ตาม ขัดเกลาด้วยความรู้ ตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงที่สุด แม้แต่ข้อความสุดท้ายที่ว่า เพราะปราศจากสติ เพราะไม่มีสติ แต่คนนั้นก็ยังไม่รู้จักสติ และจะอ่านได้อย่างไร จะรู้เรื่องได้อย่างไร ต้องเป็นคนที่ฟังธรรมด้วยความเคารพจริงๆ ด้วยความเข้าใจจริงๆ เพราะเหตุว่าจากความเข้าใจ ปัญญาก็จะสะสมสืบต่อไป ทุกขณะที่ได้เข้าใจ จนกว่าจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็ลองคิดดู ว่าต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน สำหรับเป็นผู้ที่ตรง และจริงใจ ที่จะรู้ว่าคำที่ได้ยินทั้งหมดยังไม่ได้รู้จริง เพียงรู้เรื่องราวเท่านั้น แต่ว่าลักษณะของพาลต่างๆ มีหรือไม่ ต้องมี แต่มีแล้วก็ดับไป รู้หรือไม่ ก็ไม่รู้
จึงเห็นคุณของพระธรรม พระธรรมทั้งหมดไม่ว่าจะกล่าวถึงเรื่องภิกษุ หรือคฤหัสถ์ก็ตามแต่ ทั้งหมดเพื่อให้เข้าใจธรรมตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา