จะลดกิเลส
อ.อรรณพ จะลดจะละกิเลสด้วยความเป็นเราไม่ได้เลย แต่ต้องเป็นปัญญาที่เข้าใจ สภาพธรรมตามความเป็นจริง จึงจะเป็นไปเพื่อละกิเลส
ผู้ฟัง ต้องทำอย่างไรจึงจะตัดจากกิเลส หรือตัณหาได้ หรือไม่ก็ทำให้มันลดน้อยลงไป
ท่านอาจารย์ มีกิเลสเพราะอะไรไม่ใช่อยู่ดีๆ ใครก็จะไปตัดกิเลสได้ แต่กิเลสมีเพราะอะไร ต้องตัดสิ่งที่เป็นเหตุให้เกิดกิเลส กิเลสถึงจะหมดได้ ไม่ใช่มีเราไปตัดกิเลส ลองเปรียบเทียบดู คำสอนคำพูดไหนถูกต้อง ถ้าไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุให้เกิดกิเลส แต่จะมีตัวตนไปตัดกิเลส จะสำเร็จไหม
การฟังธรรม จึงต้องละเอียด เพราะเป็นเหตุเป็นผลจริงๆ ธรรมในพระศาสนาที่ตรัสรู้โดย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าละเอียดอย่างยิ่ง คนฟังต้องรู้ประโยชน์ว่าเพื่อเข้าใจ ไม่ใช่ฟัง และอยากจะหมดกิเลส ก็ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว กิเลสอยู่ที่ไหน เดี๋ยวนี้มีหรือเปล่า ต้องเป็นผู้ที่ฟัง เพื่อที่จะได้เข้าใจว่า อะไรตัดกิเลส และกิเลสคืออะไร ต้องตั้งต้นอย่างละเอียดมาก ไม่ใช่ว่ามีเราจะไปตัดกิเลส ทำไมอยากตัดกิเลส กิเลสไม่ดีหรืออย่างไร และกิเลสเกิดจากอะไร ก็ไม่รู้สักอย่าง
คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ผู้ฟังเกิดปัญญาของตนเอง หายากยิ่ง ที่ใครจะทำให้มีความเห็นที่ถูกต้อง ในสิ่งซึ่งไม่เคยรู้เลย ทั้งๆ ที่ปรากฏทุกวัน เหมือนอยู่ในความมืดสนิท อยู่ไปวันๆ เห็นไปวันๆ ชอบไปวันๆ คิดไปวันๆ แล้วก็ตายจากโลกนี้ไป ไม่มีการรู้ความจริงเลยว่า แท้ที่จริงแล้ว อยู่ทุกวันจะตายวันไหนก็ได้ โดยที่ว่าไม่รู้เลย ว่าแท้ที่จริงแล้วคืออะไร ถ้าเป็นเราตายก็ไม่มีเรา ถ้าไม่มีการเกิดก็ไม่มีเราเกิด แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้นเลย สิ่งที่มี มี แต่ไม่ใช่เรา และไม่ใช่ของเรา เล็บเมื่อสักครู่นี้ ถ้ายังอยู่ที่ตัว ก็เป็นเล็บของเรา พอตัดเล็บทิ้งออกไป ไหนหล่ะ เอาเราไปทิ้งหรือ แต่ละหนึ่งๆ ที่มีอยู่ที่ตัว ไม่ใช่เรา และไม่ใช่ของเรา ค่อยๆ ฟัง นี่แหละถ้าไม่เข้าใจก็คือกิเลส แต่ฟังเข้าใจเมื่อไร เมื่อนั้นความเข้าใจไม่ใช่กิเลส
เพราะฉะนั้นหนทางที่จะละกิเลส ก็คือว่าเข้าใจ ความเข้าใจต่างหากละกิเลส ไม่ใช่เราละกิเลส คำพูดใดๆ ที่เผิน ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คนจะหลงเข้าใจ ว่าฟังง่าย ทำง่าย ทำได้ แต่ผิด ทำได้จริงๆ หรือ ทำได้จริงๆ ทำเดี๋ยวนี้ แล้วทำอะไรก็ไม่รู้ เต็มไปด้วยความไม่รู้ แต่ให้ทราบว่าปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง ละกิเลสไม่ใช่เรา ถ้าไม่ฟัง จะมีปัญญาไหม จะเอาตัวเราไปละกิเลสได้อย่างไร
เราตามกิเลสมานานเเล้ว ตามมาตั้งแต่เกิดทุกวัน แล้วก็จะคิดไปละกิเลสด้วยความเป็นตัวตนที่จะไปละ เป็นไปไม่ได้ เพราะตามกิเลสตลอด ก่อนอื่นเข้าใจสิ่งที่มี ให้ถูกต้อง แต่ถ้ามีคนบอกว่า ทำอย่างนี้ แล้วจะดับกิเลส เชื่อเขาหรือไม่ เขาไม่ให้เราเข้าใจอะไรเลยสักอย่างเดียว แต่บอกให้ทำก็ตัวเรา เก่ง ดับกิเลสได้ แล้วจริงหรือ กำลังทำนั่นแหละเป็นกิเลสแล้ว ก็ไม่รู้
ค่อยๆ ไตร่ตรองจนกระทั่งมั่นคง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่า สิ่งที่มีจริง มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ก็มี แต่ไม่ใช่ของใคร มีปัจจัยเกิด เกิดแล้วก็หมดไป ดับไป คนตาบอดเห็นไหม ไม่เห็น คนหูหนวกได้ยินไหม แต่คนตาดีไม่ได้เห็นตลอดเวลา เดี๋ยวก็ได้ยิน เดี๋ยวก็คิด เห็นก็ชั่วคราว ทุกอย่างชั่วคราวที่สั้นมาก เพราะไม่รู้จึงหลงว่าเป็นเรา และก็ไปหาทางจะไปดับกิเลสได้อย่างไร ในเมื่อความไม่รู้ต่างหาก ซึ่งเป็นกิเลส นำมาซึ่งกิเลสทุกอย่าง ต้นเหตุของกิเลสอยู่ที่ความไม่รู้ ถ้าจะละกิเลสก็คือ ค่อยๆ รู้เมื่อไร ความรู้ก็ละความไม่รู้ ซึ่งเป็นต้นเหตุของกิเลส ทีละเล็กทีละน้อย ต้องเข้าใจ และปัญญาละกิเลส ไม่ใช่ทำอย่างไร จะปฏิบัติอย่างไร แล้วถ้าคนอื่นเขาสอนเชื่อเลย แต่ไม่ใช่ปัญญาเลยสักนิดเดียว ก็เป็นตัวตน ซึ่งจะไปดับกิเลส แต่ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะขณะนั้นก็เป็นกิเลส