003 หมู่บ้านรักษาศีล 5


    หมู่บ้านรักษาศีล ๕

    ที่ มูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

    วันอาทิตย์ที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๐

    ตอนที่ ๓


    อ.อรรณพ ศีลธรรมทั่วๆ ไป แม้คนที่ไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ หรือในการที่เว้นจากพระพุทธศาสนา ก็มีในเรื่องของการสอนในทางที่ดี ไม่ให้มีการเบียดเบียนชาติ เป็นต้น อย่างในคำสอนพุทธศาสนา ถ้าคนที่เขาศึกษาแล้วเผิน ยกตัวอย่างเช่น ข้อความในพระไตรปิฎก ในคาถาธรรมบท พระะพุทธเจ้าเสด็จไป แล้วก็เห็นเด็กตีงูอยู่ แล้วพระพุทธเจ้าก็เกื้อกูลกลุ่มเด็กนั้นว่า เจ็บไหม แล้วชอบไหม เด็กๆ ไม่ชอบที่จะถูกเจ็บ ถูกทำร้ายไหม เด็กก็ตอบตามความจริงว่า ไม่ชอบ พระองค์ก็แสดงว่า ฉันใดฉันนั้น สัตว์อื่นก็ไม่ชอบเหมือนกัน

    แล้วก็สรุปแล้วสุดท้ายก็ได้ฟังธรรม แล้วเด็กๆ ก็ได้เป็นพระโสดาบัน ถ้าเขาศึกษาเผินๆ ก็เหมือนกับคิดว่าไปเบียดเบียนเขา เขาก็ได้รับทุกข์ เรารักสุข เกลียดทุกข์ เขาก็รักสุข เกลียดทุกข์เหมือนกัน อาจจะเป็นเหตุที่ทำให้คนมองว่า พระพุทธศาสนาเป็นเหมือนกับศีลธรรมทั่วไป ที่จะเป็นกุศล แต่ว่าไม่ได้เป็นคำสอนจริงๆ ที่สูงสุด ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะเป็นไปเพื่อให้รู้ความจริง อย่างข้อความในเรื่องของพระพุทธเจ้าช่วยเกื้อกูลเด็ก ในความละเอียดนี่คืออย่างไร เพราะเด็กเหล่านั้นก็ได้เป็นพระโสดาบัน

    ท่านอาจารย์ พระโสดาบันคือผู้ที่มีปัญญา หรือผู้ที่ไร้ปัญญา

    อ.อรรณพ ผู้ที่มีปัญญา

    ท่านอาจารย์ รู้อะไร

    อ.อรรณพ รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ เมื่อไร

    อ.อรรณพ เมื่อสภาพธรรมนั้นปรากฏ

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ ใช่ไหม

    อ.อรรณพ เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่า คือข้อความแค่นี้ เขาก็เอาไปคิดว่าพระพุทธเจ้าก็แสดงธรรมพื้นๆ อย่างนี้ จนกระทั่งบางคนก็บอกพระพุทธเจ้าแสดงอะไรง่ายๆ อย่างนี้

    ท่านอาจารย์ แล้วหลงคิดว่ารักษาศีล ๕ ครบ ก็คือ พระโสดาบันหรือ ความรู้อะไรก็ไม่มี

    อ.อรรณพ อยากจะแสดงความเห็นว่า ถ้าอย่างเช่น โครงการให้คนเป็นหมู่บ้านรักษาศีล ๕ คือว่า เหมือนกับเป็นการที่ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย แล้วก็ให้มาเอาจำนวนคนที่มาสมัคร แสดงความจำนงเท่านั้น เพราะฉะนั้น ๑. ไม่ได้เป็นคำสอนในพระพุทธศาสนาแน่นอน แล้วก็แม้ศีลธรรมเบื้องต้น ก็จะไปให้คนที่จะมีจิตที่เป็นกุศลที่ไม่ฆ่า โดยที่ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย เป็นพื้น ก็เป็นไปไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นเป็นการลวงหลายระดับ แล้วก็เป็นโครงการขึ้นมา ซึ่งก็เลยบดบังการที่จะให้คนไปศึกษาความจริง ศึกษาพระธรรมคำสอน แล้วก็คิดว่าเราก็มีศีล

    คุณทวีศักดิ์ ถ้าเราจะพูดว่า ก่อนที่จะมีหมู่บ้านรักษาศีล ๕ กับไม่มี ดูแล้วมันจะไม่มีอะไรแตกต่างกัน นอกจากรัฐที่จะต้องเสียงบประมาณมากมายลงไป กับกิจกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ แต่ถ้าจะทำให้เรื่องศีล ๕ ได้ตระหนักถึงความสำคัญ หรือว่าเห็นประโยชน์ ก็น่าจะมีวิธีการอื่น ที่สามารถทำได้ แต่ไม่ใช่วิธีการนี้

    พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ผมเองก็อยากจะฝากท่านผู้ฟังด้วย ผู้ชมด้วย ว่าพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธองค์ทรงฝากไว้กับพุทธบริษัท ไม่ได้ฝากไว้กับหมู่ใดหมู่หนึ่งโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นภิกษุอุบาสก อุบาสิกา ถ้าในขณะนี้ อุบาสก อุบาสิกา ซึ่งอยู่ในเพศคฤหัสถ์ ไม่ได้ศึกษาทำความรู้ ความเข้าใจกับพระธรรม ซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธองค์อย่างถูกต้อง แล้วก็ร่วมกันมีส่วนร่วม คือจะปล่อยให้หมู่ใดหมู่หนึ่งอย่างเดียว ซึ่งโดยทั่วไปแล้วพฤติการณ์หรือสถานการณ์เอง ก็เป็นที่เข้าใจกันอยู่ ว่าอะไรเป็นอะไร ทำอย่างไรถึงจะมีเพศคฤหัสถ์ ออกมาร่วมกันรักษา เพื่อดำรงพระพุทธศาสนา ให้สืบทอดต่อไปอย่างมั่นคง อย่างถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องเป็นผู้ที่เห็นคุณค่าอย่างยิ่งของพระธรรม แล้วก็เป็นผู้ที่เห็นความละเอียด ลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรม ซึ่งขณะนี้เป็นธรรมก็ไม่รู้ ถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นถ้าจะกล่าวถึงผู้ที่มีศีล ๕ บริบูรณ์ สมบูรณ์ คือ ผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจธรรม เป็นพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคล ถ้าไม่ถึงความเป็นพระอริยบุคคล ก็มีโอกาสที่จะประพฤติผิดได้ อย่างท่านพระองคุลิมาล ขณะที่ท่านฆ่า ขณะนั้นไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล กิเลสยังมี แต่ว่าเมื่อสะสมความรู้ความเข้าใจแล้ว ท่านไม่ใช่เพียงขั้นถึงความเป็นพระโสดาบัน ยังถึงความเป็นพระอรหันต์ ตามปัจจัยที่ได้สะสมมา

    ปัจจัยนั้นก็คือ ความรู้ถูก ความเห็นถูกตามความเป็นจริง ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ ๔๕ พรรษา เพราะฉะนั้นจะคิดเพียงคำเดียว แล้วก็จะเอามาประพฤติปฏิบัติไม่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าไม่ใช่เป็นความเข้าใจ เพราะฉะนั้นต้องดูผล ผู้ที่จะมีศีล ๕ บริบูรณ์ต้องเป็นพระโสดาบัน และความจะเป็นพระโสดาบันได้ มาจากไหน ไม่ใช่มาจากความไม่รู้ แต่ต้องมีการฟังพระธรรมเข้าใจ ขัดเกลา ละคลายกิเลส ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง ยากแค่ไหนกว่าจะถึงความเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ๕

    ไม่มีใคร สามารถทำให้ท่านประพฤติล่วงศีล ๕ ได้เลย แม้ชีวิต เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้ว่า ผลของการที่จะเป็นผู้ที่สมบูรณ์ด้วยศีล ๕ มาจากไหน มาจากความรู้ ความเข้าใจพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเท่านั้น ไม่ว่าใครทั้งนั้นยังมีกิเลส ซึ่งจะเป็นเหตุปัจจัยให้ทำทุจริตได้ เพราะพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเข้าใจแล้วก็จะค่อยๆ ขัดเกลาความไม่รู้ ซึ่งเป็นต้นเหตุของกิเลสเบาบาง จนกระทั่งประจักษ์แจ้งเป็นพระโสดาบันเมื่อไร ไม่ต้องมีใครไปตั้งหมู่บ้านศีล ๕ เลย เพราะฉะนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีหมู่บ้านศีล ๕ ด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจธรรม และคิดว่าคนที่มาสมัครจะรักษาศีล ๕ ได้

    คุณทวีศักดิ์ ซึ่งก็ต้องเริ่มต้น ด้วยการศึกษาพระธรรม

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    คุณทวีศักดิ์ คนที่มีความรู้ ความเข้าใจมากน้อยเพียงไร ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

    ท่านอาจารย์ ขึ้นอยู่กับปัญญา ความสามารถที่จะเป็นคนดีขึ้น ละเว้นทุจริต และรักษาศีลได้ ไม่ใช่ด้วยความหวัง ว่าจะต้องเป็นหมู่บ้าน แล้วก็มาสมัครกันรักษาศีล ๕

    คุณทวีศักดิ์ ที่จริงก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าถ้าได้ศึกษาทำความเข้าใจ แล้วก็ได้มีการพัฒนาระดับจิตใจขึ้นมา ผลประโยชน์ก็ตกกับครอบครัว กับหน่วยงาน กับสังคม กับประเทศชาติด้วย

    ท่านอาจารย์ และลองคิดถึงว่าศีล ๕ จะล้มเหลวไหม ชัดเจน ไม่มีทางสำเร็จหมู่บ้านศีล ๕ ไม่มีทางสำเร็จ ต้องล้มเหลวแน่นอน เพราะเหตุว่าถึงอย่างไรก็ยังมีผู้ที่ล่วงศีล จะไปสมัครกันสักเท่าไร ประกันได้ไหม ว่าคนที่ไปสมัครแล้วจะไม่ล่วงศีล ถ้าไม่ได้ ก็หมายความว่าไร้ประโยชน์ เพราะว่าไม่ได้ให้ความรู้ความเข้าใจ จนกระทั่งความรู้ ความเข้าใจ ตัวปัญญาต่างหากที่ทำให้ละเว้นทุจริต

    คุณทวีศักดิ์ พูดถึงประเทศชาติของเราในขณะนี้ ก็มีเรื่องที่น่าวิตกมากมายเหลือเกิน โดยเฉพาะปัญหาสังคม ก็เริ่มตั้งแต่การใช้ความรุนแรง ทางรัฐก็ทราบดี แล้วก็พยายามจะแก้ไข เพราะว่าผู้ที่ถูกใช้ความรุนแรง ได้รับผลกระทบมาก ก็คือสตรีหรือเด็ก ที่ถูกใช้ความรุนแรงจากผู้ใหญ่ ถ้าคนเหล่านี้เขามีความรู้ ความเข้าใจในพระธรรมได้ถูกต้องมากขึ้น มีการขัดเกลากิเลสได้บ้าง ปัญหาอย่างนี้ก็จะลดน้อยลงได้

    ท่านอาจารย์ แน่นอน ตามกำลังของปัญญา

    คุณทวีศักดิ์ หรือว่าปัญหายาเสพติด หรือแม้กระทั่งปัญหาของนักเรียนหญิง ที่เรียกว่าเบบี้มอม ปรากฏว่าเด็กไทย ตั้งครรภ์สูงที่สุดในทวีปเอเชีย ก็เป็นศีลข้อที่ ๓ หรือว่าการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงบนท้องถนน จนประเทศไทยทำสถิติสูงเป็นอันดับ ๒ ของโลก ประเทศอื่นที่มีประชากรเป็นพันล้านอย่างจีน หรืออินเดีย หรือสหรัฐอเมริกา อุบัติเหตุคนตายบนท้องถนน ก็ไม่ได้มากเหมือนเท่ากับประเทศไทย ก็มีแค่ ๖๐-๗๐ ล้านคน ก็เกิดจากความประมาท ขับรถเร็ว ไม่เคารพกฎหมาย เป็นศีลข้อ ๕ ขาดสติ ดื่มน้ำเมา พวกนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่ว่า ถ้าทำกันจริงๆ ศีล ๕ มีส่วนยกระดับพัฒนาบ้านเมืองเราได้มากทีเดียว

    ท่านอาจารย์ ไม่มีทาง

    คุณทวีศักดิ์ คือ ถ้าทำแบบวิธีนั้น ไม่มีทาง

    ท่านอาจารย์ ไม่มีทาง เพราะเหตุว่ายังมีกิเลส ดับกิเลสเมื่อไร ศีล ๕ จะสมบูรณ์ แล้วใครจะทำให้ใครดับกิเลสได้ นี้เป็นคำของสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ดับกิเลสถึงความเป็นพระโสดาบัน เป็นผู้ที่สมบูรณ์ในศีล ๕ ไม่มีการก้าวล่วงศีล ๕ เลย แม้ด้วยชีวิต เพราะฉะนั้น ลองดู ว่าใครสามารถจะให้ทำให้เกิดอย่างที่ว่าได้ โดยไม่มีปัญญา

    คุณทวีศักดิ์ ซึ่งจุดเริ่มต้นอย่างที่ได้กล่าวถึง ก็คือว่า ต้องศึกษาพระธรรม

    ท่านอาจารย์ แน่นอนที่สุด ทำไมเรากล่าวว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ หมายความว่าอย่างไร

    คุณทวีศักดิ์ มีพระพุทธเป็นที่พึ่ง

    ท่านอาจารย์ พึ่งตรงไหน พึ่งตอนไหน พึ่งอย่างไร

    คุณทวีศักดิ์ คือ ที่ตอนนี้เรามีที่พึ่งส่วนใหญ่ ก็เป็นลักษณะที่ขัดต่อหลักธรรมคำสอน มีวัตถุมงคล มีห้อยอะไรสารพัด

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเลย ไปมีวัตถุมงคลเป็นที่พึ่ง แต่กล่าวคำว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ว่าพึ่งพระปัญญาคุณ ที่ได้ทรงแสดงคำสอน ๔๕ พรรษา ให้เราสามารถที่จะเข้าใจความจริงได้ นี่คือเบื้องต้นของการที่ศีล ๕ จะสมบูรณ์

    คุณทวีศักดิ์ แล้วปัญหาที่เห็นมากๆ การเผยแพร่หลักธรรมคำสอนก็ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกต้องตรงตามพระไตรปิฎก แต่ละอาจารย์ก็ว่ากันเอง มีอุบายสารพัดอะไรต่างๆ ชาวพุทธที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่ประกอบด้วยปัญญา ปัญญาก็ยิ่งไม่มีใหญ่

    ท่านอาจารย์ ก็ช่วยกันทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่รู้ตัวว่ากำลังช่วยกันทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะไม่เข้าใจพระธรรม

    คุณทวีศักดิ์ หรือแม้กระทั่งตัวอย่างที่เราเห็นชัดๆ ในชีวิตประจำวัน ภิกษุรับเงิน ตอนบิณฑบาต ผู้ที่ไม่รู้ก็นำเงินไปใส่ไว้ในบาตร

    ท่านอาจารย์ แล้วก็ชักชวนกันบวช โดยอุปัชฌาย์รับเงินทอง แล้วคนที่ถูกบวช โดยคนที่รับเงินทอง จะไม่ประพฤติตามหรือ ซึ่งเป็นการขัดต่อพระธรรมวินัย และเป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อะไรก็ตามที่ผิด เป็นการทำลายคำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้า

    หมู่บ้านศีล ๕ ก็ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ให้คนได้เข้าใจความจริง ไม่ได้ให้เข้าใจถูกต้องว่า กิเลสเป็นต้นเหตุ ที่จะให้กระทำทุจริต เพราะฉะนั้นจะไม่กระทำทุจริต ก็ต่อเมื่อกิเลสเบาบาง เพราะปัญญา ถ้าไม่มีปัญญากิเลสก็เบาบางไม่ได้ ก็สืบเนื่องกันไปหมด เพราะฉะนั้นไม่ตรงต่อพระธรรมวินัย เพราะคิดว่าสามารถที่จะให้มีหมู่บ้านศีล ๕ ได้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้แน่นอน

    คุณทวีศักดิ์ การวิจัยเมื่อก่อนหน้านั้น ได้พูดคำประโยคหนึ่งว่า ไม่รู้ประโยชน์ ก็ไม่ได้ทำในสิ่งที่มีประโยชน์ ไม่รู้โทษ ก็ทำในสิ่งที่เป็นโทษ แต่บางครั้ง ทั้งๆ ที่รู้อะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษ ก็ยังทำไม่ได้

    อ.วิชัย เพราะว่าต้องแสดงความเป็นจริง แต่ละขณะของจิตใจ เพราะจิตไม่ได้เกิด และตั้งอยู่ตลอดเวลา แต่ขณะใดก็ตาม ที่มีปัจจัยที่จะให้ความดีงามเกิด เช่น ขณะนี้สนทนาธรรมแล้ว เป็นเหตุให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ขณะนั้นก็เป็นธรรมที่ดีงามเกิด ที่จะพิจารณาตรึกตรองในสิ่งที่ได้ยิน จนเป็นความเข้าใจ แต่นั้นก็เป็นจิตที่เกิดร่วมกับปัญญา ซึ่งเป็นธรรมที่ดีงาม จิตนั้นก็ดีงามไปด้วย แต่ถ้าหลังจากนี้ เห็นไหม อกุศลที่เคยสะสมมา ก็มีปัจจัย แล้วแต่จะมีกำลังที่จะให้มีอกุศลประเภทไหน ที่จะมีการกระทำทางกาย วาจาอย่างไร ซึ่งก็เป็นไปตามการสะสมของแต่ละบุคคล ฉะนั้นบุคคลที่รู้ว่า อย่างเช่น อย่างที่เคยสนทนาเมื่อสักครู่นี้ว่า การล่วงศีลเป็นสิ่งที่ไม่ดี ใครบ้างจะไม่รู้ ใช่ไหม แต่ขณะที่อกุศลเกิด เหมือนอย่างที่ความโกรธ คนก็รู้ว่าโกรธไม่ดี ใช่ไหม แต่ความโกรธเกิดขึ้น เห็นหรือเปล่า ว่าโกรธไม่ดี

    เพราะฉะนั้น ขึ้นอยู่กับการที่จะสะสมความรู้ ปัญญาคือความเห็นถูก ซึ่งก็ต้องเป็นปกติของบุคคลนั้น ที่จะสะสมในการที่จะฟังพระธรรม ให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ เมื่อมีความรู้ ความเข้าใจแล้ว ปัญญาก็จะนำไป ในการที่จะให้ประพฤติในสิ่งที่ดีงาม ที่ช่วยเหลือบุคคลอื่น ประพฤติในสิ่งที่เป็นประโยชน์ แล้วสิ่งใดที่เป็นโทษ เป็นอกุศล ก็ค่อยๆ ละ ค่อยๆ ที่จะวิรัติในสิ่งนั้น เป็นปกติของบุคคลนั้น ดังนั้นอกุศลมีมาก แต่ว่าจะละได้ทีเดียวทั้งหมด เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นต้องค่อยๆ ที่จะอบรมธรรมฝ่ายดีงาม ที่จะเป็นปกติของบุคคลนั้น

    คุณทวีศักดิ์ พอจะบอกว่า เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ไหมว่า นี่คือความเป็นอนัตตา ความไม่มีตัวตน ความที่ไม่สามารถบังคับบัญชาอะไรได้

    อ.วิชัย ต้องเริ่มต้นที่ความเข้าใจ แม้แต่คำว่า อนัตตา ว่าขณะนี้ก็เป็นอนัตตาทุกๆ ขณะ แต่ว่าอกุศลสะสมมีไหม กุศลสะสมบ้างหรือเปล่า ซึ่งการที่จะรู้ได้ ต้องเป็นปัญญาของบุคคลนั้น เพราะมิเช่นนั้นไม่รู้เลยว่า อกุศลเกิดเมื่อไร กุศลเกิดเมื่อไร และทั้งหมดนี้ ก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งมีปัจจัยให้เกิดขึ้น แต่คิดว่าเป็นเรา คนนั้นทำให้เราบ้าง เราถูกคนนั้นว่าบ้าง ก็เกิดความขุ่นเคือง ไม่พอใจขึ้นมา ทั้งหมดก็เป็นไปด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจธรรม

    คุณทวีศักดิ์ โดยที่เราก็หนักอกหนักใจเหมือนกัน ที่เห็นชาวพุทธเราบอกว่าเรานับถือพุทธ แต่เราเองก็ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ทำความรู้ ความเข้าใจ กรณีที่เห็นชัดๆ ง่ายๆ ที่ปรากฏอยู่ในสังคม คนไทยเป็นชาติที่ถูกต้มตุ๋น หลอกลวง ฉ้อโกงมากที่สุด ไม่ว่าจะแชร์ลูกโซ่ ไม่ว่าจะระบบขายตรง ไม่ว่าจะมีผู้แจ้งมาว่าถูกรางวัล อะไรต่ออะไร เป็นเหยื่อมากมายมหาศาลเลย ก็เป็นเพราะว่าคนไทยเราเป็นคนเชื่อง่าย เราไม่ได้เข้าใจในเรื่องหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ที่ทรงสอนว่า ไม่ว่าจะได้ยิน ได้ฟัง ได้เห็น ได้อ่าน ได้ศึกษาอะไรก็แล้วแต่ ต้องทำความเข้าใจด้วยตนเอง อ.อรรณพ จะช่วยอธิบายตรงนี้เพิ่มเติมอย่างไร เกี่ยวกับเรื่องปัญญา

    อ.อรรณพ ก็สะท้อนให้เห็นว่า เมืองไทยเป็นเมืองพุทธแต่ชื่อ เมืองพุทธแต่ชื่อจริงๆ เพราะว่าไม่ได้มีการศึกษาให้เข้าใจพระธรรมคำสอน ซึ่งเป็นพุทธะ คือ ความรู้ เพราะฉะนั้นเมื่อขาดความเป็นพุทธะ แม้จะใช้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธใช่ไหม ก็เป็นไปตามอำนาจของกิเลส ที่เชื่อง่าย เพราะว่าอยากได้ เขาบอกให้ว่าไปมีวัตถุมงคลนี้ แล้วก็จะได้โชคลาภ ก็เชื่อ เพราะไม่ได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนว่า อะไรเป็นมงคลจริงๆ และอะไรเป็นความติดข้อง อะไรเป็นความเห็นผิด อะไรเป็นความไม่รู้ ซึ่งเป็นรากฐานของกิเลส อกุศลทั้งหลาย ความไม่รู้ ก็ไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง แต่กลับใช้ชื่อว่าเป็นพุทธศาสนา มาแปะเอาไว้ทั้งๆ ที่ในเนื้อในนั้น ก็คือความไม่รู้ ใช่ไหม คือออกมาในลักษณะนี้ ซึ่งก็มากขึ้นๆ จนเป็นเครื่องบ่งชี้ได้ว่า สังคมของบ้านเรา ไม่ใช่สังคมที่เป็นชาวพุทธจริงๆ แต่พระพุทธศาสนาก็ยังมีคำสอนอยู่ ยังมีโอกาสที่จะได้ศึกษา ก็มีผู้ที่เห็นประโยชน์ที่มีการศึกษา แล้วก็จะกล่าว จะบอก จะแสดงตามพระธรรมคำสอน เพื่อผู้ที่มีการสะสมมาที่จะสามารถเข้าใจ และเห็นประโยชน์นี้ได้ ความเข้าใจนั้นก็เป็นผู้รู้ตาม เป็นอนุพุทธะ ค่อยๆ รู้ตาม ตามความเป็นจริง ถ้ามีความรู้ ความเข้าใจ มีปัญญา ความเข้าใจความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแต่ละขั้น ก็จะเป็นไปด้วยดีในกิจต่างๆ ในการทำงาน

    ถ้าเรารู้โทษที่สักครู่นี้อ.ทวีศักดิ์ คุยกับ อ.วิชัย ฟังดูเหมือนว่ารู้โทษของอกุศล แล้วก็รู้คุณของสิ่งที่เป็นประโยชน์ แต่ไม่ได้รู้จริง ใช่ไหม ถึงจะรู้บ้าง ก็ยังไม่สามารถที่จะหมดกิเลสได้ แต่ถ้าไม่รู้เสียเลย นี่คือเราอยู่ในภาวะวิกฤต วิกฤตประเทศชาติ วิกฤตพระพุทธศาสนา เมื่อพระพุทธศาสนานี้ถูกถอดทิ้ง เหลือแต่ชื่อ พระพุทธศาสนาตอนนี้จะเหลือแต่ชื่ออยู่แล้ว เพราะไม่ได้มีความเป็นผู้ศึกษา คือ โครงการหมู่บ้านรักษาศีล ๕ บ้าง มีเรื่องวัตถุมงคลบ้าง มีเรื่องการเอาเงินเอาทองมาให้ภิกษุ โดยหวังว่าจะได้ประโยชน์อะไรต่างๆ อยากได้บุญ ก็ไม่เข้าใจบุญ มีแต่ความไม่เข้าใจกับไม่เข้าใจ และไม่เข้าใจ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็ออกมาเป็น

    เพราะฉะนั้นอกุศลธรรม จะนำไปในทางที่ดีได้ไหม ทุกคนก็ต้องตอบได้ว่าอกุศลก็ต้องนำในทางที่ไม่ดี เพราะฉะนั้นโลภะ โทสะ โมหะต่างๆ เหล่านี้ ก็นำไปในทางอกุศล ที่จะเป็นความโลภ ที่อยากจะหลอกคนอื่น ทั้งๆ นี้คือผู้ที่หลอกลวง ต้นตอของหลอกลวง แล้วผู้ที่เชื่อตามคำหลอกลวงนั้น ก็เพราะว่าความอยากได้ โลภะของคนหลอก โลภะของคนที่ถูกหลอก ความไม่รู้ของคนหลอก เพราะนึกว่าสิ่งนี้จะทำให้เขาได้ทรัพย์สินเงินทองจากการหลอกลวง สังคมอย่างนี้ หรือบางทีเป็นการหลอกลวงที่น่ากลัว หลอกลวงโดยแอบอ้างพระธรรมคำสอนของเป็นพุทธเจ้า คนก็หลงเชื่อ ความไม่รู้ของคนตาม เพราะฉะนั้นก็เป็นความเห็นผิดของคนทำ ความเห็นผิดของคนที่ตาม

    เพราะฉะนั้นก็เป็นสังคมที่ประกอบไปด้วยจิตใจที่มีอกุศลธรรมเกิดขึ้น เป็นอกุสลา ธัมมา ก็เลยเป็นอย่างนั้น

    คุณทวีศักดิ์ ผมก็มีโอกาสได้สนทนาพูดคุยกับ ผู้ที่อยู่ในแวดวงที่ทำงาน ด้านกฎหมายของบ้านเมืองเหมือนกัน ก็คุยกัน ท่านก็เอ่ยว่า ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะว่าถ้าในเพศบรรพชิต ส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่ทุศีล หรือไม่ก็อลัชชี ในขณะเดียวกัน เพศคฤหัสถ์เอง ก็ไม่ได้สนใจศึกษา ไม่ได้มีความรู้ ความเข้าใจ ที่ถูกต้อง ทุกสิ่งทุกอย่างปฏิบัติก็ล้วนแต่ขัดต่อหลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ แล้วเราก็บอกว่าขณะนี้ก็อยู่ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปีเหมือนกัน จะนำเอาพุทธมณฑลเป็นศูนย์กลางของศาสนาโลก อย่างนี้มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วมันของจริงของปลอมอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องทราบว่า เป็นพูดตรง ทุกคนเลยมีกิเลสทั้งนั้น ใช่ไหม มากน้อย แล้วอะไรจะละคลาย และดับกิเลสได้ ต้องตรง ใช่ไหม อะไร ปัญญาความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีปัญญาแล้ว จะดับกิเลสละคลายกิเลสได้ไหม ด้วยเหตุนี้กิเลสที่มีมากๆ ก็สามารถที่จะดับ ไม่เหลือเลยได้ เมื่อปัญญามีกำลังถึงความที่รู้แจ้งความจริง ถึงความเป็นพระอรหันต์

    นอกจากนั้นน้อยกว่านั้นก็คือว่า เป็นพระอนาคามี นอกจากนั้นต่ำลงมาอีกก็เป็นพระสกทาคามี นอกจากนี้ก็คือพระโสดาบัน เพราะฉะนั้นกิเลสซึ่งมีก่อนเป็นพระโสดาบัน ทำทุจริตกรรมต่างๆ ยับยั้งไม่ได้ ห้ามไม่ได้ เพราะเหตุว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ใครจะห้ามโดยวิธีการใดๆ ไม่ได้ทั้งสิ้น เพราะเหตุว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา แม้แต่ขณะนี้ ด้วยเหตุนี้ไม่มีความเข้าใจที่มั่นคงว่า กิเลสสามารถจะหมดได้ ดับได้ด้วยปัญญาเท่านั้น


    หมายเลข 11162
    5 พ.ย. 2567