ต้องตั้งต้นให้ถูก


    ผู้ถาม ในขณะที่ศึกษาปริเฉท ๑ ๒ ๓ มันมีแต่หัวข้อ มีเรื่องราว ก็เป็นลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏเช่นเดียวกัน

    สุ. ผู้ฟังๆ เพื่อเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ จะโดยวิธีไหนก็แล้วแต่ จะอ่านพระไตรปิฎกอรรถกถา อภิธัมมัตถสังคหะ หรืออะไรก็ตามแต่ทั้งหมด เพื่อเข้าใจถูกเห็นถูกในความเป็นจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ

    ผู้ถาม ถ้าพูดถึงสิ่งที่กำลังปรากฏก็เป็นเพียงหนึ่งลักษณะ และหนึ่งลักษณะนั้นก็ไม่มีชื่อ ไม่มีเรื่องราว มีแต่ลักษณะที่ปรากฏได้เฉพาะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเท่านั้นเอง ความเข้าใจในขั้นการฟังถูกต้องตามความเป็นจริง ควรเข้าใจอย่างไร

    สุ. ฟังแล้วก็พิจารณาไตร่ตรองว่าสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟังเป็นจริงอย่างนั้นหรือเปล่า หรือว่าไม่ถูกต้อง ก็เป็นปัญญาของผู้ที่ฟังเองที่จะต้องรู้ว่าสิ่งใดถูกกับสภาพธรรมลักษณะที่กำลังปรากฏจริงๆ

    ผู้ถาม ไม่ว่าจะมีการสนทนาธรรม หรือว่ามีการสนทนาในเรื่องปริเฉทต่างๆ เป็นหัวข้อต่างๆ ก็ควรเข้าใจอย่างนั้น เพราะว่าการศึกษาในลักษณะของปัจจัย ๒๔ ว่าลักษณะนั้นไม่ปรากฏของปัจจัย ๒๔ เลย

    สุ. จิตเป็นสภาพรู้ ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏจะปราศจากสิ่งที่ถูกรู้ไม่ได้ เมื่อจิตเกิดขึ้นเป็นสภาพรู้ต้องรู้สิ่งที่จิตกำลังรู้ สภาพธรรมที่เป็นอารมณ์ที่จิตกำลังรู้เป็นปัจจัยที่ทำให้จิตนั้นๆ เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้สภาพที่เป็นอารมณ์นั้นเป็นปัจจัยโดยเป็นอารัมณปัจจัย นี่ก็รู้แล้วแต่ไม่ได้บอกชื่อเท่านั้นเอง แล้วก็ต้องมีความเข้าใจด้วยว่าการศึกษาแม้เรื่องของปัจจัยก็ไม่ใช่ไปจำชื่อ แต่รู้ว่าขณะนี้มีสภาพรู้ และสภาพรู้ขณะนี้กำลังรู้อะไร กำลังเห็น อะไรเป็นอารมณ์ของจิตเห็น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาในขณะนี้เมื่อเป็นอารมณ์ก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้จิตเห็นเกิดขึ้น ไม่ใช่ไปทำให้จิตได้ยิน จิตได้กลิ่นเกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้สิ่งที่ปรากฏทางตาที่สามารถกระทบจักขุปสาท และจิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งนั้น ไม่ใช่เห็นสิ่งอื่น สิ่งที่เห็นคือสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เองเป็นอารัมณปัจจัยของจิต นี่ก็หนึ่งปัจจัยแล้ว และจิตกับเจตสิกต้องเกิดพร้อมกันแยกกันไม่ได้เลย เมื่อจิตเกิดขึ้นต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย สภาพของนามธรรมที่เกิดพร้อมกัน แยกกันไม่ได้ รู้อารมณ์เดียวกัน ดับพร้อมกันด้วย เป็นปัจจัยโดยเป็นสัมปยุตตปัจจัยหมายความว่าแยกกันไม่ได้เลย การที่จิตเกิดต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย จิตเป็นสัมปยุตตปัจจัยของเจตสิก แยกกันไม่ได้ และขณะที่จิตเกิด เจตสิกเกิดร่วมด้วย เจตสิกก็เป็นสัมปยุตตปัจจัยทำให้ผลคือจิตเกิดขึ้นร่วมกันในขณะนี้ เพราะว่าปัจจัยเป็นเหตุ ปัจจยุบันเป็นผล ก็เป็นคำที่ขยายให้เข้าใจ เวลาที่รู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นสิ่งที่มีจริง และสิ่งที่มีจริงขณะนี้ปรากฏเพราะอะไร สภาพธรรมที่ปรากฏไม่ใช่สภาพรู้สิ่งนั้น แต่ว่าปรากฏกับสภาพรู้หรือธาตุรู้ เพราะฉะนั้นก็เป็นนามธรรม และรูปธรรม ซึ่งขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้พระผู้ทีพระภาคทรงแสดงความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงในขณะนี้โดยละเอียด โดยสภาพความเป็นปัจจัย โดยสภาพความเป็นธาตุ โดยสภาพความเป็นอายตนะ โดยประการทั้งปวงได้กว้างขวาง แต่ว่าผู้ที่ฟังก็คือว่าให้มีความเข้าใจถูกต้องว่าสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏเป็นธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน เพราะฉะนั้นฟังให้เข้าใจ ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ รู้ จะให้ประจักษ์แจ้งทันทีเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย แต่ไม่ต้องไปจำเป็นบทเรียนหน้านั้น เล่มนี้ ปริเฉทนั้น แต่สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ถ้าเข้าใจแล้วเป็นปริเฉทไหน บอกว่ารูป หรือเป็นปริเฉท ๖ หรือยังไง หรือว่าความจริงก็คือการเข้าใจลักษณะที่มีจริงๆ จะปริเฉทไหนก็ตามก็สามารถที่จะเข้าใจได้โดยตลอดถึงคำว่า “ขันธ์” ถ้ามีความเข้าใจจริง สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นขันธ์หรือเปล่า ไม่ใช่ชื่อขันธ์แล้วก็อยู่ในหน้านั้นหน้านี้ แต่ว่าลักษณะความจริงของขันธ์คืออะไร คือสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยหลากหลายแม้เป็นรูปแต่ละทางก็หยาบละเอียด ไกลใกล้ แล้วแต่ที่จะเข้าใจในขณะนั้นได้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่ใช่ไปชื่อขันธ์เสียก่อน แล้วก็มานั่งลำดับ แต่รู้ว่าขณะนี้เองแม้เสียงที่ปรากฏก็ต่างกัน ขณะนั้นก็เป็นขันธ์แต่ละขันธ์ ถ้ายังไม่รู้ลักษณะของสภาพนั้นจะไปหยาบละเอียด ไกลใกล้ก็ไม่ได้ หรือว่าจะรู้โดยความเป็นอายตนะหรือความเป็นปฏิจสมุปบาทก็ไม่ได้เลยทั้งสิ้น ต้องตั้งต้นให้ถูก เข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ แล้วก็จะเข้าใจความหมายของคำต่างๆ ที่ได้ยินได้ฟังโดยถูกต้องว่าไม่พ้นจากสิ่งที่กำลังปรากฏ


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 228


    หมายเลข 11249
    31 ส.ค. 2567