เห็น


    ด้วยเหตุนี้การศึกษาธรรมจึงศึกษาสิ่งที่กำลังมีให้เข้าใจในความละเอียดที่เกิดปรากฏ เช่น เดี๋ยวนี้เห็น หรือว่าไม่ว่าจะเห็นเมื่อไหร่ ที่ไหนก็ตาม จิตเห็นไม่ใช่กุศล เพราะเหตุว่าเป็นผลที่มีเหตุที่ได้กระทำแล้วเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น ในขณะที่กำลังเห็น เราจะไปรู้ถึงกับว่าเห็นขณะนี้เป็นกุศลวิบากหรือเป็นอกุศลวิบาก คือเป็นผลของกุศลกรรมหรือเป็นผลของอกุศลกรรมได้ไหม ขณะที่กำลังเห็นอย่างนี้ตามความเป็นจริง ถ้าคิดนึกเราอาจจะคิดว่าเราเห็นสิ่งที่สวยงาม เช่น ดอกไม้เหล่านี้ก็เป็นกุศลวิบากนั่นคือคิดนึก แต่ตามความจริงแม้แต่เห็นขณะนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นเพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่งเกิดแล้วจึงได้ปรากฏ จึงมีเห็นขณะนี้ซึ่งต้องไม่ลืมคำว่าไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคลเป็นธรรม การฟังธรรมฟังจนกว่าจะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏว่าเป็นธรรม แต่ธรรมในขณะนี้ที่กำลังปรากฏก็ต่างกัน เช่นเห็นไม่ใช่คิดนึก ไม่ใช่สุข ไม่ใช่ทุกข์ เพราะฉะนั้นธรรมจริงๆ มีมากโดยไม่รู้จึงต้องอาศัยการฟังให้เข้าใจเสียก่อน แต่เมื่อเข้าใจแล้วไม่ลืมว่าหมายความถึงการที่จะรู้ธรรมจริงๆ นั้นต้องรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นในขณะที่เห็นขณะนี้โดยการศึกษา โดยการฟัง ทราบว่าเป็นผลของกรรม ถ้าเป็นผลของกรรม ภาษาบาลีใช้คำว่า “วิปากะ” ภาษาไทยก็พูดสั้นๆ คือวิบาก เพราะฉะนั้นก็เริ่มที่จะเข้าใจเรื่องราว แต่ลืมที่จะรู้ว่าเดี๋ยวนี้สภาพที่เป็นวิบากที่เป็นจิตที่เป็นผลของกรรม ทำให้มีธาตุชนิดหนึ่งเกิดขึ้นกำลังเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ ยังไม่ต้องไปไกลถึงขนาดที่ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เป็นอิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ จิตเป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก เพราะเหตุว่าการเข้าใจธรรมต้องเข้าใจตามลำดับ ขณะนี้ที่เห็นรู้ไหมว่าเป็นนามธรรม ฟังมาแล้วนานมาก ไม่ไขว้เขว จำได้ว่าขณะนี้สิ่งที่กำลังเห็นเกิดขึ้นเป็นนามธรรมตอบได้ แต่ลักษณะสภาพที่ไม่ใช่ตัวตนที่เป็นเพียงธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเห็นยังไม่รู้เลย เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมต้องตามลำดับคือก่อนอื่นต้องรู้ในลักษณะที่เป็นนามธรรม แล้วภายหลังสติปัญญาของใครจะมากพอที่จะรู้ลักษณะของรูปหรือว่าสิ่งที่ปรากฏ หรือกุศลจิตที่ต่างกัน เป็นกุศลวิบาก อกุศลวิบากโดยชื่อ แต่ว่าขณะที่กำลังรู้ลักษณะของสภาพธรรมไม่มีชื่อเพราะเหตุว่ามีแต่ลักษณะซึ่งไม่ใช่ตัวตนกำลังปรากฏ


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 229


    หมายเลข 11282
    31 ส.ค. 2567