การฟังต้องฟังละเอียดที่จะให้ถึงความเป็นอนัตตา


    ผู้ถาม ก็ยังสงสัยตรงนี้ว่าในขณะถ้าหากว่าสติเกิดก็จะต้องมีลักษณะของสติ แล้วเมื่อจะรู้ว่าขณะนั้นสติเกิด หมายความว่าในขณะนั้นลักษณะของสติได้ดับแล้วจึงปรากฏต่อสติดวงใหม่

    สุ. จะไปคำนึงอะไรถึงสิ่งซึ่งเกิดแล้วหรือว่าดับแล้วหรือว่าเกิดอีกแล้วก็สืบต่อ ในเมื่อขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ เช่น แข็ง ทุกคนรู้ลักษณะที่แข็งเป็นธรรมดา ไม่ใช่สติที่กำลังรู้แข็งต่อจากกายวิญญาณที่กำลังรู้แข็ง เพราะฉะนั้นผู้นั้นจึงสามารถที่จะรู้ความต่างได้ วันหนึ่งๆ ก็กระทบสัมผัสสิ่งที่แข็ง แต่ว่าไม่เคยรู้ลักษณะที่แข็งว่าเป็นสภาพธรรมที่ปรากฏ แต่ต้องมีสภาพที่รู้แข็ง และแข็งปรากฏก่อน แล้ววาระต่อไปสติจึงเกิดขึ้นแล้วก็รู้ตรงลักษณะนั้นด้วยการรู้ว่าขณะนั้นไม่มีชื่อใดๆ เลย เป็นลักษณะของสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งถ้าปัญญาอบรมเจริญถึงระดับที่จะละคลายความติดข้อง ลักษณะของสภาพธรรมทุกอย่างที่กำลังปรากฏเป็นความจริงที่สติสามารถที่จะระลึกรู้ได้ แต่ไม่ใช่ให้เราไปนั่งสงสัยว่าก็แข็งดับไปแล้ว วาระนั้น แล้วก็มโนทวารวิถีจิตเกิดขึ้นวาระต่อไป นี่เป็นเรื่องความคิดนึก แต่ขณะนี้มีแข็ง และก็สิ่งที่เราได้ศึกษาเป็นเรื่องลักษณะของจิตประเภทต่างๆ ซึ่งจะแสดงให้เห็นความต่างของจิตว่าแม้ในขณะที่เหมือนสิ่งที่ปรากฏไม่ดับเลย จิตที่เกิดดับ และกำลังมีสิ่งนี้เป็นอารมณ์มีลักษณะที่ต่างกันเป็นประเภทต่างๆ จิตบางประเภทเป็นวิบาก จิตบางประเภทเป็นกิริยา จิตบางประเภทเป็นอกุศล นี่ก็คือแม้ในขณะที่แสนสั้นที่เสมือนว่าในขณะนี้ไม่มีอะไรดับเลย เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ไม่ได้ฟังด้วยความประมาทว่าธรรมเป็นสิ่งที่รู้ได้ง่าย แม้แต่การฟังต้องฟังละเอียดที่จะให้ถึงความเป็นอนัตตาของสภาพธรรมก่อน แล้วก็จะรู้ว่าแม้สติที่จะเกิดหลังจากที่มีการฟังเข้าใจแล้วที่จะรู้ตรงลักษณะของสภาพธรรม ก็เป็นอนัตตาไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพที่กำลังรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 230


    หมายเลข 11344
    31 ส.ค. 2567