ปัญญาจะต้องเจริญจนกว่าจะละความไม่รู้ สภาพธรรมจึงจะปรากฏ


    ผู้ถาม เห็นครั้งเดียวแล้วเป็นท่านอาจารย์เลย

    สุ. นิมิต

    ผู้ถาม ความจริงต้องเห็นหลายๆ ครั้ง หลายๆ หนจนกระทั่งเป็นนิมิตเป็นท่านอาจารย์ขึ้นมา

    สุ. ทุกอย่างจะรู้ได้ว่าที่เราเข้าใจว่าเราเข้าใจธรรมอย่างหยาบ เวลาที่สติปัฏฐานเกิดจะรู้กำลังสติปัญญาของเราว่าสามารถจะรู้อะไรได้แค่ไหน แม้แต่เสียงที่ปรากฏนี่สั้น และเร็วใช่ไหม แต่ว่านึกถึงเพียงแค่กุศลจิตหรืออกุศลจิตที่มีเสียงนั้น กำลังมีเสียงนั้นเป็นอารมณ์ ชอบบ้างไม่ชอบบ้าง หรือเป็นความสามารถที่จะรู้ลักษณะของเสียงเกิดดับสืบต่อกัน ๗ ขณะ เพียงแค่เสียงเดียว เพียง พูดถึงจิตมีมากกว่า ๗ ขณะที่มีเสียงเป็นอารมณ์ แต่ถ้ากล่าวถึงเฉพาะกุศล และอกุศลที่กำลังมีเสียงนั้นเป็นอารมณ์ ขณะนั้น ๗ ขณะสืบต่อ และคิดออกไหม แค่นี้จิตเกิดดับมีเสียงนั้นเสียงเดียวยังไม่ใช่เสียงอื่นเป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าปัญญาของเราจะต้องอบรมเจริญจนกว่าจะละความไม่รู้ สภาพธรรมจึงจะปรากฏแก่แต่ละบุคคลตามความเป็นจริงที่จะสามารถละคลายความไม่รู้ได้ โดยที่ว่าเมื่อสิ่งนั้นยังไม่เกิดก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปนึกถึงด้วยความสงสัย แต่ก็รู้จักตัวเองเพิ่มขึ้นในวันหนึ่งว่าเมื่อฟังธรรมแล้ว มีสติสัมปชัญญะที่รู้ตรงลักษณะของสภาพธรรมที่ได้ยินได้ฟังบ้างไหม ถ้ายังก็คือฟังต่อไปเพราะว่าไม่มีตัวตนที่จะไปบังคับบัญชาได้ โลภะจะทดลอง จะชักชวน จะนำอยู่ตลอดเวลาให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้เพราะไม่เห็นผล ทั้งๆ ที่ฟังมาตั้งเท่าไหร่ และก็เห็นมาตั้งเท่าไหร่ และก็กำลังเห็น สติปัฏฐานก็ไม่เกิด ก็ชักจะวุ่นวายหาทางอื่น นั่นใคร ความไม่รู้ และความต้องการ แต่ถ้าเป็นการรู้จริงๆ ขันติเป็นตบะอย่างยิ่ง ทุกคำที่ตรัสไว้เป็นความจริง และก็ไม่ใช่ทางหลอกลวง ถ้าไปทางผิด เมื่อไหร่จะกลับมาหาทางถูก แต่แม้ว่าทางถูกจะเป็นทางที่ยาวไกล แต่ก็ค่อยๆ เดินไป ค่อยๆ ไปตามกำลังความสามารถของแต่ละภพแต่ละชาติ และตัวอย่างของผู้ที่ได้รู้แจ้งสภาพธรรมในอดีตก็มีแล้วมาก เพราะฉะนั้นก็ยังคงมีต่อไปได้ถ้ามีการอบรมเจริญปัญญาจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้จนถึงพระองค์ต่อ ไป หรือเมื่อไหร่ก็แล้วแต่ ถ้าไม่ใช่ความรู้ก็อย่าไปพอใจในการที่จะได้อะไรมาหรือคิดว่ารู้อะไรโดยที่ว่าไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 230


    หมายเลข 11378
    31 ส.ค. 2567