ธรรม-รูป-นาม
อ.อรรณพ การศึกษาธรรมะ ต้องเข้าใจจริงๆ ในแต่ละคำ เช่น คำว่าธรรมะ รูปธรรม นามธรรม ว่ามีความหมายอย่างไร
ท่านอาจารย์ จะเรียนวันนี้ จะเข้าใจสักกี่คำดี วันนี้แค่ ๓ คำ ดีหรือไม่ เพราะว่า ๓ คำละเอียดมาก แค่ ๓ คำ หนึ่งคำว่า ธรรม ไม่มีใครสงสัยเลย ใช่หรือไม่ สิ่งที่มีจริงทั้งหมด ต้องมีลักษณะให้รู้ว่ามีจริง แต่ละหนึ่งๆ สิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่รู้อะไร มีหรือไม่ มี อย่างแข็งไม่รู้อะไร เราเรียกว่าโต๊ะหรือ มีท่านผู้หนึ่งยกตัวอย่างโต๊ะหรือไม่ อะไรก็ได้ที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น มีแน่ๆ ที่ตัวมีแข็งหรือไม่ ลองจับดูก็รู้ว่ามี เป็นธรรมหรือเปล่า รู้อะไรหรือเปล่า แข็งที่ตัวรู้อะไรหรือเปล่า ไม่รู้ ไม่ว่าแข็งจะอยู่ที่ไหน แข็งรู้ไม่ได้ นี่คือเริ่มเป็นผู้ที่ตรงต่อธรรม มั่นคง ไม่สงสัย แข็งจะอยู่ที่ไหนทั้งหมด แข็งเป็นแข็ง แข็งจะเป็นอื่นไม่ได้เลย เป็นเราก็ไม่ได้ และก็ไม่รู้อะไรด้วย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
แต่ว่าถ้ามีแต่เฉพาะธรรมที่เป็นสภาพไม่รู้อะไร ไม่มีการเดือดร้อนเลยใช่หรือไม่ ไฟไหม้ป่า น้ำท่วม ภูเขาไฟระเบิด ไม่มีใครเดือดร้อนเลย เพราะไม่มีสภาพรู้ ขณะนี้ในโลกจะเป็นอย่างไร สภาพที่ไม่รู้อะไร ก็ไม่รู้หมดเลย แต่ว่าธรรมมากมายหลากหลาย สภาพที่ไม่รู้ มี แต่ก็ไม่มีการที่จะปรากฏ ถ้าไม่มีธาตุอีกชนิดหนึ่ง หรือธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้น และต้องรู้ ทันทีที่เกิด ไม่มีรูปร่างใดๆ เลยไม่แข็ง ไม่อ่อน ไม่เย็น ไม่ร้อน ไม่เปรี้ยว ไม่เค็ม แต่ว่าเกิดขึ้นแล้วรู้ ๓ คำ ต้อง ๓ คำจริงๆ ก่อน ค่อยๆ ไปทีละเล็กทีละน้อย เพราะมีท่านผู้หนึ่งท่านตอบว่าปัญญา
เห็น รู้ไหมว่าขณะนี้มีอะไร เห็น เอาเห็น ไม่ต้องคิดอะไรเลย มีเห็น และมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ใช่หรือไม่ มีเห็นโดยไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ได้หรือไม่ มีเห็น โดยไม่มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ได้หรือไม่ ต้องมั่นคงจริงๆ ธรรมเปลี่ยนแปลงไม่ได้ คิดเองไม่ได้ อยู่ในห้องมืด เห็นหรือไม่ ต้องตรง ทำไมรู้ว่ามืด ก็เห็นว่ามืด แต่ต้องมีเห็น ปิดไฟทันทีเดี๋ยวนี้ มีเห็น และสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่ใช่สิ่งที่กำลังสว่าง แต่เป็นมืด แต่เห็นเป็นเห็น เห็นมืดก็ได้ แล้วค่อยๆ สลัวๆ ค่อยๆ สว่าง จนกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้นก็ได้ ก็เป็นเห็นทั้งหมด ถูกต้องหรือไม่
เพราะมีธาตุรู้ จึงมีสิ่งที่ปรากฏ เช่นเสียง เสียงไม่ได้ยินเสียง แต่ธาตุรู้เกิดขึ้นได้ยินเสียง ที่ใช้คำว่ากำลังได้ยิน อยู่ที่ตัวแท้ๆ เห็นหรือไม่ ธรรม ไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย อยู่ที่ตัวนี้แหละ อยู่ทุกหนทุกแห่งนี่แหละ แล้วก็ไม่ใช่ของใครด้วยเพราะทันทีที่ได้ยินเกิด อย่างอื่นต้องไม่มี นี่คือการประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมด้วยปัญญา แต่ขณะนี้ยังปรากฏว่าทั้งเห็นด้วย ได้ยินด้วย คิดด้วย จำด้วย ชอบด้วย ไม่ชอบด้วย ทุกอย่างหมด เป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ ซึ่งต่อไปนี้ปนกันไม่ได้เลย สภาพไม่รู้ ต้องไม่รู้ตลอด จะรู้ขึ้นมาไม่ได้ และสภาพรู้ ก็ไม่มีรูปร่างใดๆ เจือปนเลย เกิดขึ้นแล้วต้องรู้ ไม่ผอม ไม่อ้วน ไม่สูง ไม่ต่ำ ไม่ดำ ไม่ขาว ไม่เผ็ด ธาตุรู้เกิดขึ้นรู้ ทางหูมีธาตุรู้เกิดขึ้น ได้ยิน หูไม่ได้ยิน เสียงก็ไม่ได้ยิน แต่ได้ยินมี ได้ยินเสียง อะไรเป็นธรรม เสียงเป็นธรรม ได้ยินเป็นธรรม ธรรมสองอย่างต่างกัน อย่างหนึ่งไม่รู้อะไรเลยคือเสียง แต่ได้ยินได้ยินคือรู้เสียง ที่เราใช้คำว่าได้ยิน คือรู้ว่าเสียงนั้นมีลักษณะอย่างไร เสียงต่ำ เสียงสูง ทั้งหมดหลากหลายมาก แม้แต่เดี๋ยวนี้ เพราะได้ยินรู้แจ้งเสียง ที่กำลังปรากฏ เป็นธรรม เป็นเราหรือเปล่า ได้ยินเป็นเราหรือเปล่า ได้ยินเป็นเราได้อย่างไร ได้ยินเป็นธรรม ต้องตรงทุกคำ ได้ยินเป็นเราหรือเปล่า ไม่ใช่ มั่นคงแล้ว รู้จักธรรมแล้ว ว่าไม่มีเรา ไม่มีอะไรเลย แต่ว่ามีจริงๆ ถ้าเราไม่คิดถึงรูปร่าง เราบอกว่านกได้ยิน แมวได้ยิน สุนัขได้ยิน งูได้ยิน แต่ว่าความจริงเอารูปร่างออก ได้ยินเหมือนกันหมด เป็นธรรมชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นแล้วต้องรู้เฉพาะเสียง รู้อย่างอื่นไม่ได้ แค่เพียงเกิดขึ้นรู้เสียงแล้วดับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ยังสงสัยอะไรหรือไม่
ฟังแล้วเข้าใจแล้วยังไม่พอ ไตร่ตรอง สวดมนต์หรือเปล่า กำลังสาธยายสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง สัพเพ ธัมมา อนัตตา กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพยากตา ธัมมา เราเข้าใจว่าเป็นสวด แต่ความจริงเป็นการพูดถึง ไตร่ตรอง หรือคิดถึงคำที่เราได้ฟังแล้ว ด้วยความเข้าใจขึ้น เพราะว่าถ้าไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง ไม่เข้าใจเลย จะมีอะไรมาคิด แต่คนที่ไม่รู้ พูดคำที่ไม่รู้จักใช่หรือไม่ สวดมนต์ กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพยากตา ธัมมา ลองถามว่าสิ่งที่เขาพูดคืออะไร ตอบได้หรือไม่ พูดคำที่ไม่รู้จัก แล้วจะเป็นอย่างนี้หรือ
ผู้ฟัง บางครั้งพระยังแปลไม่ได้ และโยมจะรู้เรื่องหรือไม่
ท่านอาจารย์ ต้องเป็นผู้ตรง ไม่ว่าใครทั้งสิ้น สาวกคือผู้ฟัง ผู้ฟังพระธรรมก็มีทั้งเพศบรรพชิต และคฤหัสถ์ พุทธบริษัทไม่ใช่มีแต่พระภิกษุ แต่มีคฤหัสถ์ด้วย คฤหัสถ์ที่ฟังพระธรรม แล้วก็เป็นพระอริยบุคคล รู้แจ้งสภาพธรรมในครั้งพุทธกาลมีมาก และภิกษุที่ไม่รู้แจ้งในอริยสัจจธรรมก็มี ไม่ได้ว่าต้องเป็นพระถึงจะรู้ หรือจะเข้าใจธรรม ใครก็ตามไม่ศึกษาพระธรรม ไม่รู้ รู้ได้อย่างไร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ลืมคำนี้ได้อย่างไร
ก่อนฟังธรรม เราระลึกถึงพระคุณ มิฉะนั้นเราจะไม่ได้ยินสักคำ ธรรมก็ไม่ได้ยิน กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพยากตา ธัมมา ก็ไม่ได้ยิน รูปธรรม นามธรรม ก็ไม่ได้ยิน แต่ได้ยิน เพราะพระองค์ได้ทรงตรัสรู้ เคยรู้มาก่อนหรือไม่ ไม่รู้ ทั้งๆ ที่มีอยู่ตลอดเวลา นี่คือความน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่ได้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อนเท่านั้น เพราะว่าถามดู คนที่ไม่สนใจฟังธรรมจะมีมาก นับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นชาวพุทธ แต่ไม่รู้ ไม่ศึกษา ไม่เข้าใจ ก็ไม่ใช่ผู้ที่มีพระศาสดาเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่เป็นผู้ที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง จนกว่าจะได้เข้าใจธรรม