เส้นทางอนัตตา
อ.อรรณพ ถ้าไม่มีความเข้าใจพระธรรมอย่างถูกต้องก็มีแต่ความเป็นตัวตนที่จะไปทำสติ ด้วยความหวังความต้องการ แต่ปัญญาที่สะสมจากการฟังพระธรรม จะดำเนิน ไปเพื่อรู้แจ้งสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน
ท่านอาจารย์ เมื่อไรก็ตามที่ยังเชื่อเรื่องของขลังต่างๆ ผ้ายันต์ต่างๆ ก็คือว่าไม่ใช่ปัญญาขั้นฟัง ฟังไม่เข้าใจ ก็ไม่ใช่การสะสมความเห็นถูก ที่จะทำให้สภาพธรรมปรากฏได้ ขณะนี้ทุกคนรู้ว่ามีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก มีสุข มีทุกข์ก่อนอื่น ไม่ใช่เรา มั่นคงหรือไม่ ขณะที่ยังไม่มั่นคง สภาพธรรมก็ไม่ปรากฏ แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่ามั่นคงหรือไม่ ว่าขณะนี้ไม่ใช่เรา ฟังมาก็นาน จำได้ด้วย เห็นไม่ใช่เรา บางคนก็จำต่อเลย เป็นจักขุธาตุ บางคนก็จำต่อไปเป็นอายตนะจำหมดเลย แต่ความเข้าใจมั่นคงหรือไม่ ถ้ามั่นคงจริงๆ สามารถจะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ด้วยความเป็นอนัตตา เมื่อนั้นก็รู้ว่า นั่นคือลักษณะของสติสัมปชัญญะ ซึ่งเป็นอนัตตา ต้องเริ่มเกิดจากการฟังเข้าใจก่อน จึงเป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิดได้ แต่ก็รู้ว่าขณะนั้นก็เป็นเพียงน้อยมาก ใช่หรือไม่ เป็นปกติด้วย แล้วก็มีเห็น ซึ่งไม่ใช่รู้ รู้สิ่งใด ขณะนั้นจะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ที่ตั้ง อยู่ที่สิ่งนั้น ด้วยความเข้าใจ ว่านี่มีจริง นี่มีจริง แข็งมีจริง กระทบแข็งเดี๋ยวนี้ แข็งมีจริงหรือไม่ ถ้าถามบอกว่ามีจริง แต่ตอนที่กำลังกระทบ แข็งมีจริงหรือไม่ มี แต่ไม่รู้ ความรู้จากการฟังเท่านั้น ทีละเล็กทีละน้อยทั้งหมด จะมารู้ในขณะที่แข็งกำลังปรากฏในความเป็นสิ่งที่มีจริง ที่ใช้คำว่าธาตุหรือธรรม คือแค่มีจริง แต่ยังไม่ประจักษ์การเกิดดับ
เพราะฉะนั้นจะเป็นละคลายความเป็นตัวตนได้อย่างไร จนกว่าปัญญาจะค่อยๆ สมบูรณ์ขึ้น โดยความเป็นอนัตตาแท้ๆ จริงๆ โดยการที่ละคลายความต้องการ และความติดข้อง และความพากเพียร ที่เป็นศีลพรตปรามาส จะไปทำอย่างนั้น จะไปทำอย่างนี้ ทำอย่างไรถึงจะรู้สภาพธรรม ต้องไปนั่งอยู่กี่วัน หรืออะไรอย่างนั้น ยกมือข้างหนึ่ง ก็ไม่รู้ยกทำไม ในโทรทัศน์เห็นจริงๆ ยกมือทำไม ก็ยกกันเป็นแถว นี่อะไร ก็แสดงให้เห็นว่าความเข้าใจละเอียดมาก ขณะที่รู้ว่าสติสัมปชัญญะเกิด ถ้าไม่รู้เป็นสติสัมปชัญญะหรือไม่ ไม่เป็น จะไปทำสติสัมปชัญญะหรือไม่ ได้ยินแต่คำว่ามีสติ มีสติ อย่างไรกัน ไปมีได้อย่างไร ใช่หรือไม่ ไม่มีความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น
แต่ว่าปัญญาเริ่มค่อยๆ เข้าใจถูกต้อง ในสิ่งที่มีจริง ในขณะนี้สติเกิดหรือไม่ ไม่เกิดก็ไม่เกิด แต่จากการฟัง เวลาที่สติเกิด ไม่ต้องเรียก ไม่ต้องบอก ไม่ต้องถามว่าถูกหรือไม่ เพราะขณะนั้นปัญญารู้ความต่าง ของขณะที่กระทบสัมผัสแข็ง ไม่ใช่ด้วยสติ แต่ขณะใดที่สติเกิดรู้ตรงนั้น ขณะนั้นก็คือว่า ไม่ใช่ขณะที่เพียงกระทบแล้วไม่รู้ ความรู้ทั้งหมดจากการฟัง จะมีประกอบกันไปกับทุกขณะที่สติสัมปชัญญะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม นิดเดียวเอง ยังไม่มากพอเลย ยังไม่สามารถที่จะละคลายอะไรได้ สภาพธรรมจริงๆ จึงยังปรากฏไม่ได้ จนกว่าจะมีความเข้าใจที่มั่นคง และขณะนั้นก็พร้อมที่จะเกิด คนนั้นไม่ทันจะไปทำอะไรเลย เพราะธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่เตรียมไว้คอย วันนี้รู้สึกอารมณ์ดีๆ สติเริ่มจะมี เริ่มจะมา อะไรก็ไม่รู้ คิดกันไปต่างๆ นานา ด้วยความหวัง ด้วยความเป็นเรา ด้วยการคอย ทั้งหมดผิด ศีลพรตปรามาส กว่าจะรู้ว่าผิด ต้องเป็นปัญญา ถ้าไม่รู้ก็ทำกันต่อไป
ก็มีการประพฤติปฏิบัติเทียมมากมาย ตั้งแต่ระดับที่เห็นชัดๆ ว่าผิด กับปัญญาที่ต้องรู้จริงๆ ขณะนั้นว่าผิด ในขณะผิดไม่ใช่ไปคิดทีหลัง ว่านั่นผิดแล้ว ก็เป็นเรื่องของการอบรมปัญญา ด้วยการเข้าใจ จึงสามารถที่จะละความหวัง และรู้ว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สติจะเกิดเมื่อไร ใครรู้ เริ่มจะเข้าใจความเป็นอนัตตา ก็ไม่ต้องไปหวัง ไปคิดว่าจะทำ ไปคิดว่าจะคอย ถ้าสติสัมปชัญญะเกิด จะเข้าใจกว่านั้นอีกเมื่อไร ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ เพราะทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด คือความเป็นอนัตตา
อ.วิชัย ไม่มีอะไรที่จะมาตวงวัด ว่าแค่ไหน อย่างไร แต่ว่า รู้ว่าเป็นความเข้าใจมากขึ้น ซึ่งต่างกับขณะที่ไม่ได้ฟัง ก็มีความเพลิดเพลิน มีความยึดถือตามปกติ
ท่านอาจารย์ แล้วถ้าเกิดความคิด ว่ารู้แค่ไหน นั่นก็ตัวตนแล้ว
อ.วิชัย ก็ตามมาอีกตลอด
ท่านอาจารย์ คั่นอยู่ตลอด ปัญญาเท่านั้นที่เห็นศีลพรตปรามาส ทิฏฐิ สังกายทิฏฐิ และทิฏฐิที่เกิดจากการที่มีความเป็นตัวตน ที่จะจดจ้อง แม้เพียงนิดนึง ปัญญาต้องรู้ ด้วยเหตุนี้จึงละทั่ว ละหมด ไม่ว่าขณะไหนทั้งสิ้น จนไม่สามารถที่จะมีปัจจัยเกิดขึ้นอีกได้เลย เป็นปัญญาจริงๆ ไม่ใช่ความไม่รู้ แล้วไปหลอก ไปหลง ลวงว่าเข้าใจ
อ.วิชัย ธรรมที่ลวง ที่หลอก ถ้าปัญญาเจริญขึ้น สิ่งนั้นก็ปรากฏตามความเป็นจริง แก้ปัญญาให้รู้ได้
ท่านอาจารย์ เป็นธรรม ไม่ใช่เรา แม้ขณะนั้นก็เป็นธรรม จึงจะละได้ เพียงแค่เข้าใจ จนกว่าประจักษ์เมื่อไร เมื่อนั้นต่างกันหรือไม่ กับการที่เพียงคิด สิ่งนั้นเกิดจริงๆ ดับจริงๆ ไม่ใช่เราจริงๆ แต่นั่นก็ยังไม่ถึง การเป็นพระโสดาบัน ความละเอียดที่ว่า ไม่มีความเห็นผิดใดๆ หลงเหลือเกิดอีกได้เลย ก็เพราะเหตุว่าปัญญามีความเข้าใจละเอียดขึ้น ถูกต้องขึ้น ชัดเจนขึ้น และสภาพธรรมปรากฏตามที่ได้ฟัง ตรงทุกอย่าง ไม่คลาดเคลื่อน เพราะพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ผิดทุกคำ จะมีคำผิดไม่ได้เลย เพราะทรงประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรม ต้องเป็นปัญญาที่รู้ ไม่ใช่เป็นปัญญาก็หลง หรืออยู่ตรงนั้นแหละ จนกว่าการฟังพระธรรมเพิ่มขึ้น เข้าใจขึ้น ค่อยๆ คลาย การที่เคยไปติดอยู่ตรงนั้น แต่ก็ต้องแล้วแต่ว่าความสมบูรณ์ของปัญญา จะถึงกาลเมื่อไร ที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมใด เพราะยังไม่เกิด ไม่สามารถที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมขณะใด แค่ไหน เห็นความเป็นอนัตตา ชัดเจนเพิ่มขึ้น ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุด เป็นเส้นทางของอนัตตาโดยตลอด เพราะนั่นคือปัญญา