ยากที่จะเข้าใจธรรม
อ.อรรณพ ยากยิ่งที่จะเข้าใจธรรมะตามความเป็นจริงได้ เพราะมากไปด้วยความไม่รู้ และความยึดว่าเป็นตัวตน กว่าจะประจักษ์แจ้งในความเป็นธรรมะที่ไม่ใช่เรา จึงไม่ง่ายเลย
ท่านอาจารย์ มีข้อความนี้หรือไม่ คุณวิชัยที่ว่า ถ้าศึกษาพระสูตรไม่ดี ก็มีความเห็นผิด
อ.วิชัย ถ้าศึกษาพระวินัยไม่ดี ก็เป็นเหตุให้เป็นผู้ทุศีล ถ้าศึกษาพระสูตรไม่ดี ก็เป็นเหตุให้เกิดความเห็นผิด เพราะเหตุว่าบางครั้งพระองค์ก็ตรัสว่า เราหรือว่าคนนั้นคนนี้ ก็คิดว่ามีจริงๆ
ท่านอาจารย์ ความยาก ความละเอียด ความลึกซึ้งของพระธรรมประมาณไม่ได้เลย มีท่านผู้หนึ่ง ท่านกล่าวว่าคนที่ได้ฟังธรรมแล้ว ก็ยังดี เพราะเหตุว่ายากแสนยากยิ่งกว่านั้น คือกว่าจะได้ฟังธรรม ได้มาฟังธรรมกับคนที่ยังไม่ได้มาฟังเลย ไปชวนสักเท่าไหร่มาไหม คนที่คิดหวังดีต่อใครๆ แล้วเขาก็ไม่ได้ฟังธรรม ที่เป็นเรื่องที่จะต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ก็ได้พิจารณาว่า ยากก็คือว่าแม้แต่ว่าจะให้เขาได้มีโอกาสฟังธรรม ก็ยังยาก และธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งสุดที่จะประมาณได้ เพราะอะไร เดี๋ยวนี้มีทุกอย่างตามที่ได้ฟัง แต่ไม่ได้ถึงเฉพาะลักษณะแต่ละหนึ่งว่า เป็นจริงอย่างที่ได้ฟังเลย เพียงแต่ว่าเป็นเรื่องราวที่รู้ว่ามี โลภะทุกคนก็มี โทสะทุกคนก็มี อิสสา มัจฉริยะ อะไรๆ ก็มีทั้งนั้น สุข ทุกข์อะไรก็มี แต่ไม่ได้ปรากฏ ว่าไม่ใช่เราเลย กว่าจะเอาสิ่งที่ถูกปกปิดไว้ด้วยความเป็นเรามากมาย ค่อยๆ ออกไป จนกระทั่งเป็นธรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะคิด จะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน ตั้งแต่เกิด แต่ละชีวิตหลากหลายมาก ก็เพราะความหลากหลายของปัจจัย ที่จะให้สภาพธรรมแต่ละหนึ่งเกิดขึ้น เป็นแต่ละบุคคล ไม่มีใครไปบังคับบัญชาได้เลยทั้งสิ้น ก็จะเห็นได้เลย ยากมาก่อนที่จะได้ฟังแล้ว ใช่หรือไม่ ในสังสารวัฎแสนยากที่จะให้คนที่ไม่เห็นประโยชน์ ได้เห็นประโยชน์ เมื่อฟังแล้วก็ยังแสนยาก ที่จะให้เป็นผู้ที่ละเอียดรอบคอบไม่ประมาท ฟังทุกคำด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ว่าทุกคำต้องสอดคล้องกัน
ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา โกรธเกิดได้ไหม ก็ได้ ธรรมดา ดีใจเกิดได้ไหม ก็ได้ เป็นธรรมดา ใครทำ ไม่มีใครทำเลย แต่ว่าเพราะมีเหตุปัจจัยที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นชั่วขณะแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีก แล้วใครเห็นเดี๋ยวนี้ ธรรมละเอียดอย่างนี้ ว่าไม่ใช่เพียงแค่ให้ฟังเข้าใจ ต้องถึงการประจักษ์แจ้งด้วยเพราะเหตุว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมตามลำดับขั้น คือปริยัติฟังคำของพระองค์ แค่นี้ ไม่ใช่คำของคนอื่นเลย ไม่ว่าใครจะพูดว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ก็เป็นคำของพระองค์ คนอื่นพูดคำว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา พูดตาม ไม่เข้าใจ จำแล้วพูด หรือว่ามั่นคงจริงๆ ว่านั่งก็เป็นอนัตตา ลุกขึ้นก็เป็นอนัตตา เดินก็เป็นอนัตตา จะไปดูโทรทัศน์ จะทำอะไรทั้งหมดตลอดชีวิตไม่ใช่เราเลยทั้งสิ้น เป็นการเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม ทั้งหมดคือจิต เจตสิก รูป ซึ่งถูกปกปิดไว้ ใครก็เปิดไม่ออก หนาหนักแน่นมากด้วยความเป็นเรา จนกว่าพระธรรมแต่ละคำจะค่อยๆ มีกำลังขึ้น ที่สามารถจะเปิดสิ่งที่ถูกปกปิดเดี๋ยวนี้ คือเห็นเป็นจิตไม่ใช่เรา กำลังเห็นแท้ๆ ธาตุรู้เกิดขึ้นเห็นแล้วดับถ้าไม่เป็นอย่างนั้น ละความเป็นเราไม่ได้ อย่างที่คุณอรรณพกล่าว เพราะสะสมความเป็นเรามามาก
แม้อ่านพระไตรปิฎกก็เป็นเราอ่าน แล้วจะเข้าใจได้ยังไง กลายเป็นเราหมด แต่ความจริงแล้วคือว่าทุกคำ เป็นอนัตตาทั้งหมดไม่ว่าใครจะพูดอะไร พ่อแม่บอกลูกให้ตื่นขึ้นไปโรงเรียน เป็นธรรมหรือไม่ ทั้งหมดต้องไม่เว้นเลยทั้งสิ้น ถึงจะรู้ว่าผู้นั้นได้เข้าใจธรรม และก็มีความเข้าใจขึ้น การรู้แจ้งสภาพธรรมที่เป็นอริยสัจ ไม่ใช่ไปไหน ไม่มีสำนักปฏิบัติในครั้งพุทธกาล ต้องเป็นความเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ตามปกติโดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา แต่เพราะเหตุว่าเป็นปัญญาที่ได้สะสมมา ไม่มีใครรู้ว่าสภาพธรรมที่ถูกปกปิดไว้ จะเปิดออกเมื่อไหร่ เพราะขณะนี้ กำลังสะสมเหตุปัจจัยที่สามารถที่จะทำให้เข้าใจ สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ว่า ไม่ใช่เรา ตามความเป็นจริงได้ แต่ยังไม่ถึงเวลา ก็ยังเป็นอย่างนี้แหละ ฟังไปอีกจนกว่าสภาพธรรมจะเป็นไปตามระดับขั้น จากปริยัติเป็นสัจจญาณ มั่นคง ธรรมคือเดี๋ยวนี้ ดับแล้ว ถ้าจะรู้ก็ต้องเดี๋ยวนี้ที่ปรากฏ ไม่ใช่ไปทำอะไรที่ไหน อย่างไรเลยทั้งสิ้น เพราะไปแล้ว ถามว่าทำอะไร ตอบว่าอย่างไร คำตอบไปทำอะไร มีใครจะบอกบ้าง ไปทำอะไร ไปนั่ง ไปยืน ไปเดิน แล้วยังไง ปัญญารู้อะไร ความเห็นผิดทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำลายพระพุทธศาสนา และทำลายประเทศชาติด้วย เพราะว่าเสียเงินในสิ่งซึ่งไร้สาระ ไม่เป็นประโยชน์เท่าไหร่มากมายมหาศาล แทนที่เงินนั้นจะมาพัฒนาใช่หรือไม่ ทำประโยชน์ได้