ภิกษุ คือ ผู้มีความละอาย *
ภิกษุคือใคร ที่คนลืม ลืมสนิทคือ ภิกษุคือผู้มีความละอาย ความละอายต่ออกุศล เวลาที่มีอกุศล คนไม่รู้ และไม่ละอาย ที่เรารับประทานอาหารอร่อย แต่งตัวสวยงาม ไปเที่ยวเตร่ทั้งหมด เราไม่ได้ละอายกิเลสประเภทนี้ แต่ละอายกิเลสที่ยิ่งกว่านี้ คือ ทุจริตในเพศของคฤหัสถ์
เพราะฉะนั้นต้องรู้ความต่างของพระภิกษุกับคฤหัสถ์ คฤหัสถ์ ก็มีอกุศล พระภิกษุก็มีอกุศล แต่ว่าคฤหัสถ์ฟังธรรมแล้ว ก็มีปัญญารู้ความจริงว่า ถ้าตราบใดที่ไม่รู้ธรรมที่เกิดขึ้น ตามการสะสม ตามความเป็นจริง ละกิเลสไม่ได้ เพราะไม่รู้ ยังคงเป็นเราเกรงนั่นกลัวนี่ ไม่กล้าจะมีอกุศลระดับนั้นระดับนี้ ทั้งๆ ที่หารู้ไม่ว่า อกุศลเกิดแล้ว กลับจะไปคิดเรื่องอื่น ทำไมไม่เข้าใจธรรมที่เป็นอกุศลที่เกิดให้ถูกต้อง ว่าไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้นก็คือว่า เนื่องจากไม่เข้าใจคำสอน ทั้งธรรม และวินัย ก็ทำให้ไม่รู้ว่า ภิกษุมีความละอายในอกุศลยิ่งกว่าคฤหัสถ์ จึงสามารถที่จะสละอาคารบ้านเรือน สละเพศคฤหัสถ์ สู่เพศบรรพชิต ซึ่งทำกิจใดๆ อย่างคฤหัสถ์ไม่ได้ นี่ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง มิฉะนั้นเราสับสน เราไปชื่นชมกับพระภิกษุที่รับเงิน และทำคุณความดี หน้าที่ของภิกษุคืออะไร ละอายต่ออะไร ละอายที่จะไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย นั่นจึงเป็นภิกษุ แต่ถ้าไม่ละอาย ต่อพระบัญญัติที่ได้ทรงวางไว้แล้ว จะเป็นภิกษุได้อย่างไร
เพราะฉะนั้นภิกษุที่แท้จริง ต้องเป็นภิกษุในธรรมวินัย มีความละอายยิ่งกว่าคฤหัสถ์ เพราะเหตุว่า พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง นำไปสู่การเห็นกิเลสที่ละเอียด ซึ่งในเพศคฤหัสถ์ไม่เห็น เช่น การพูดล้อเล่น การบริโภคอาหารเสียงดัง เป็นต้น ทรงแสดงโทษของกิเลส ที่ชาวบ้านคิดว่าธรรมดา ใช่ไหม บางคนเด็กๆ ร้องเพลงไป รับประทานอาหารไปทีละคำ ก็ยังได้ นั่นเป็นคฤหัสถ์ แต่พระภิกษุทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจว่า ความละอายสำคัญที่สุด ละอายต่ออกุศล แม้เพียงเล็กน้อย ที่จะขัดเกลาโดยการต้องมีความเข้าใจพระธรรม ถ้าไม่มีความเข้าใจพระธรรม รักษาพระวินัยไม่ได้ และพระวินัยแม้เพียงเล็กน้อย ผู้ที่มีความละอาย มีความเห็นถูก เห็นเหมือนเมฆก้อนใหญ่ เมื่อวานนี้เมฆก้อนใหญ่ไหม ฟ้าเต็มไปหมด ทึบเลย มืดเลย นั่นคือแม้กิเลสเพียงเล็กน้อย ก็ต้องเห็นว่าเป็นโทษภัยอย่างนั้น จึงสมควรที่จะเป็นพระภิกษุ
เพราะฉะนั้นเนื่องจากไม่เข้าใจความเป็นภิกษุตั้งแต่ต้น เพราะฉะนั้นพฤติกรรมใดๆ ทั้งหมด ซึ่งไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย ชาวบ้านไม่รู้ เพราะฉะนั้นจึงช่วยกันทำลายพระธรรมวินัย ด้วยประการต่างๆ เช่น สำหรับภิกษุ ก็ให้เงินให้ทอง ห่วงใยว่าจะอยู่อย่างไร ถ้าไม่มีเงิน ก่อนบวชรู้แล้ว ว่าไม่มีเงิน ไม่ใช่ไม่รู้ ก่อนบวชรู้แล้ว ว่าจะมีชีวิตอย่างไม่มีเงินเลย จะอยู่ด้วยศรัทธา ของผู้ที่เห็นประโยชน์ ของการที่มีผู้ที่สละอาคารบ้านเรือน เพื่อศึกษาพระธรรม ประพฤติปฏิบัติขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้นผู้นี้เป็นผู้ประเสริฐ วร เป็น พระ ประเสริฐกว่าคฤหัสถ์ เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์เห็นอาการสงบ ละอายไหม ถ้าจะไม่สงบ เดินไปแต่งตัวไม่เรียบร้อย ตามฐานะของภิกษุ ละอายไหม ถ้าไม่ละอายก็ไม่สงบ เดินไปแกว่งมือ แกว่งเท้า แกว่งแขน สงบไหม ละอายไหม
เพราะฉะนั้นทั้งหมด พระวินัยทั้งหมด สำหรับให้เกิดความละอายที่ว่า เมื่อเป็นผู้ที่ขัดเกลากิเลส ต้องขัดเกลากิเลสตั้งแต่ตื่นจนหลับ มีความสำนึกว่าเราไม่ใช่คฤหัสถ์ เพราะฉะนั้นจะรับเงินรับทอง ไปสร้างโรงพยาบาล เป็นกิจของพระภิกษุหรือ
เพราะฉะนั้นถ้าคฤหัสถ์ไม่เข้าใจจริงๆ ก็คือ ไม่ใช่อุบาสก อุบาสิกาในพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้นพระศาสนาก็วิกฤติทุกที หมู่บ้านศีลห้า มีประโยชน์ไหม เสียเงินเสียทองเท่าไร โจรเท่าไร ทุจริตเท่าไร และประโยชน์อะไร กับการทุ่มเทเงินทอง เพื่อที่จะมีหมู่บ้านศีลห้า แต่ว่าทุจริตเต็มบ้านเต็มเมือง แม้แต่ในวงการสงฆ์ อย่างนี้หรือ เป็นผู้ที่เข้าใจพระธรรม
เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจจริงๆ ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ก็ไม่เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดว่าพระธรรมวินัยไม่มีประโยชน์ ไม่ต้องศึกษาก็ได้ ไม่ต้องเข้าใจก็ได้ ทำตามใจชอบก็ได้ นั่นคือผู้ที่ไม่เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่พุทธบริษัท