รู้หรือไม่ว่าพระภิกษุคือใคร *


    เป็นเรื่องใหญ่ที่ชาวพุทธส่วนใหญ่ โดยมากจะไม่ได้ฟังแต่ละคำ เช่น พระภิกษุ เราเห็นพระภิกษุทุกวัน แต่รู้ไหมว่า พระภิกษุคือใคร เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องเป็นความละเอียด ที่จะต้องเข้าใจก่อนว่า คือใครหรือว่าคืออะไร ถ้ารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะรู้ได้ว่า ถ้าไม่มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีพระภิกษุแน่นอน

    เพราะฉะนั้นพระภิกษุเป็นใคร ผู้ที่ได้ฟังพระธรรมแล้ว แล้วก็เข้าใจ เห็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่จะสละเพศคฤหัสถ์ ซึ่งสละยากมากๆ ทุกคนคิดดู สละหมดทุกอย่าง พ่อแม่ พี่น้อง ทรัพย์สมบัติ สิ่งที่เคยรื่นเริงบันเทิงใจทั้งหมด อาหารอร่อย ทุกสิ่งทุกอย่าง มหรสพทั้งหมด เพื่ออุทิศชีวิต โดยขออุปสมบทจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อที่จะศึกษาพระธรรม เพื่อขัดเกลากิเลส จนกว่าจะถึงความเป็นพระอรหันต์เช่นพระองค์

    เพราะฉะนั้นพระภิกษุ คือ ศากยบุตร บุตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระบิดา ซึ่งเป็นผู้ที่ให้กำเนิด สิ่งใดที่พระองค์ตรัสไว้ ผู้ที่เป็นภิกษุต้องประพฤติปฏิบัติตาม เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์ก็สามารถที่จะฟังพระธรรม เข้าใจได้ ในครั้งนั้น ผู้ที่ฟังพระธรรมแล้วเข้าใจ จนกระทั่งสามารถที่จะเป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี พระอนาคามี พระโสดาบัน คือ ผู้ที่ดับกิเลส ความเห็นผิด แสดงให้เห็นว่า ก่อนได้ฟังพระธรรม ต้องเห็นผิด ไม่ใช่ว่าเราสามารถจะเห็นถูกได้ด้วยตัวเอง พอได้ฟังพระธรรมแล้ว ก็สามารถที่จะเข้าใจถูกขึ้น ในสิ่งซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อน มิฉะนั้นแล้ว ก็จะไม่มีการรู้พระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ในสังสารวัฏฏ์ที่ยาวนาน ทุกสิ่งถูกปกปิดไว้ ไม่เปิดเผยเลย จนกว่าจะมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคำของพระองค์ทุกคำ ทำให้เกิดความเข้าใจ ในสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน เดี๋ยวนี้ ทั้งหมด ไม่มีใครรู้ความจริง จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม

    เพราะฉะนั้นผู้ที่ฟังพระธรรมในครั้งนั้น มีทั้งคฤหัสถ์หญิง ชาย วัยไม่จำกัด พอฟังแล้วก็แล้วแต่ว่าอัธยาศัย ใครมีอัธยาศัยที่จะสละอาคารบ้านเรือน จึงสละอาคารบ้านเรือน แต่ถ้าไม่มีอัธยาศัย ก็ฟังพระธรรมต่อไป เข้าใจต่อไป ขัดเกลากิเลสต่อไป จนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจธรรม ไม่ว่าจะเป็นภิกษุหรือคฤหัสถ์ อยู่ที่ปัญญา ที่สามารถที่จะเข้าใจ เพราะฉะนั้นภิกษุที่บวช แต่ยังไม่รู้แจ้งอริยสัจธรรมก็มี คฤหัสถ์ที่ไม่ได้บวช แต่เข้าใจธรรม รู้แจ้งอริยสัจธรรมก็มี

    เพราะฉะนั้นก็ไม่มีใครบังคับใคร ไม่มีใครชวนใครให้ไปบวช เป็นร้อยเป็นพัน ไม่มี เพราะเหตุว่าถ้าไม่สามารถที่จะสละอาคารบ้านเรือน ชวนเขาไปสละได้อย่างไร สามารถที่จะอบรมเจริญปัญญาในเพศนั้นได้อย่างไร ถ้าไม่มีอัธยาศัย ด้วยเหตุนี้ ในครั้งพุทธกาล คฤหัสถ์ก็สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ต่อเมื่อบรรลุความเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสหมดเมื่อไร เมื่อนั้นไม่สามารถที่จะมีชีวิตอย่างคฤหัสถ์อีกต่อไป ต้องอุปสมบทเป็นพระภิกษุ นี่แสดงให้เห็นว่า เพศบรรพชิต คือ เพศของพระอรหันต์

    เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์ในครั้งโน้น กราบไหว้ เพราะเห็นอัธยาศัยที่สะสมมา ที่เหนือกว่าคฤหัสถ์ ที่สามารถสละทุกสิ่งทุกอย่างได้ เพราะฉะนั้นพระภิกษุในครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างไร เปลี่ยนไม่ได้ ไม่ว่ายุคไหน สมัยไหน จะมีข้ออ้างอย่างนั้น อย่างนี้ ที่จะไม่ประพฤติตามคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ เพราะเหตุว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ ไม่มีผู้ใดเปรียบได้เลย

    เพราะฉะนั้นทุกคำของพระองค์ที่ตรัสแล้ว เปลี่ยนไม่ได้ เพราะ ทรงตรัสรู้ ใช้คำว่า ตรัสรู้ และไม่ใช้รู้ธรรมดา รู้ความจริง ซึ่งคนอื่นไม่รู้ในขณะนี้ จนถึงที่สุด เพราะฉะนั้นพระธรรมที่ทรงแสดงแล้ว ไม่มีใครสามารถจะเปลี่ยนได้เลย ด้วยเหตุนี้ พระภิกษุก็จะต้องเป็นภิกษุ ไม่ว่าในครั้งไหน ต้องตามพระธรรม และพระวินัย ที่ได้ตรัสไว้ดีแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเห็นพระภิกษุ ก็ต้องรู้ว่าบวชเพื่ออะไร ซึ่งยุคนี้ สมัยนี้ ถ้าจะถามคนที่บวชว่า ทำไมบวช จะมีคำตอบว่าอย่างไร หลายอย่างใช่ไหม จะมีคำตอบไหม ว่าบวชเพื่อศึกษาธรรม เพื่อขัดเกลากิเลส และประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย นั้นคือ ภิกษุในธรรมวินัย

    เพราะฉะนั้นถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เป็นภิกษุในพระธรรมวินัยหรือเปล่า มีความเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า มีความตั้งใจที่จะเข้าใจธรรม ศึกษาความละเอียดลึกซึ้ง เพื่อขัดเกลากิเลส เพื่อเป็นประโยชน์แก่ตนเอง และคนอื่นหรือเปล่า นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าชาวพุทธไม่ได้เข้าใจธรรม ก็จะไม่รู้ว่าภิกษุเป็นใคร เพราะเหตุว่าถ้าเพียงเดินมาไม่สนทนากัน จะไม่รู้ว่าเป็นภิกษุหรือไม่ใช่ภิกษุ แต่ถ้าพบบุคคลที่แต่งตัวอย่างนี้ ครองจีวรทุกสิ่งทุกอย่าง ในห้าง หรือว่ามีกล้องถ่ายรูป หรืออะไรก็ตามแต่ เหมือนคฤหัสถ์ นั่นไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย เพราะเหตุว่าถ้าเป็นภิกษุในพระธรรมวินัย ต้องบวชเพื่อที่จะศึกษาธรรม เพื่อขัดเกลากิเลส เพราะเหตุว่าถ้าไม่เข้าใจธรรม ขัดเกลากิเลสไม่ได้เลย เดี๋ยวนี้กิเลสมีหรือเปล่าก็ไม่รู้ แล้วจะขัดเกลาได้อย่างไรก็ไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม


    หมายเลข 11495
    23 ต.ค. 2567