ไม่ทอดทิ้งสิ่งที่มีค่าที่สุด *


    อ.คำปั่น พระสูตรที่ได้นำมาสนทนาในวันนี้ ชื่อ วิตสูตร ว่าด้วย ทรัพย์เครื่องปลื้มใจ จากสังยุตตนิกาย สคาถวรรค เนื้อหาของพระสูตรมีดังนี้ "เทวดาทูลถามว่า อะไรหนอเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจอย่างประเสริฐ ของคนในโลกนี้ อะไรหนอที่บุคคลประพฤติดีแล้ว นำความสุขมาให้ อะไรหนอเป็นรส ดีกว่าบรรดารสทั้งหลาย คนมีชีวิตเป็นอยู่อย่างไร นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า มีชีวิตประเสริฐ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสตอบว่า ศรัทธาเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจอย่างประเสริฐ ของคนในโลกนี้ ธรรม ที่บุคคลประพฤติดีแล้ว นำความสุขมาให้ ความจริงเท่านั้นเป็นรสที่ดียิ่งกว่ารสทั้งหลาย คนที่เป็นอยู่ด้วยปัญญา นักปราชญ์ทั้งหลาย กล่าวว่ามีชีวิตประเสริฐ"

    นี่คือข้อความในวิตตสูตร ก็กราบท่านอาจารย์ครับว่า ในพระสูตรนี้ก็เป็นพระสูตรสั้นๆ ทรงแสดงถึงความเป็นจริงของธรรม ทรงแสดงถึงที่พึ่งที่แท้จริง ทรงแสดงถึงสัจจะ ก็คือ วาจาสัจจะ ซึ่งเป็นคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และแสดงถึง ธรรมที่ประเสริฐยิ่ง ก็คือ ปัญญา ความเข้าใจถูก เห็นถูก ในธรรม ตรงตามความเป็นจริง ในเบื้องต้น การที่จะศึกษาธรรม เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้อง และก็เป็นประโยชน์จริงๆ โดยอาศัยคำเหล่านี้ จะเป็นอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ก็มีทุกอย่าง แต่ไม่มีปัญญา เป็นอย่างไร มีหมดเลย ลาภก็มี ยศก็มี สรรเสริญก็มี สุขก็มี แต่ไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้นความจริงของสิ่งที่มี กำลังมีอยู่ในขณะนี้ แล้วก็ปรากฏด้วยว่ามี แต่ไม่รู้ เป็นอย่างไร ไม่เคยรู้มาก่อนด้วย ว่าไม่รู้ อยู่ในโลกมาตลอดกี่ภพ กี่ชาติ ก็ไม่เคยรู้มาก่อน ว่าไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงรู้ว่าสิ่งที่มีค่าที่สุด คือความเข้าใจ ซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะทำให้เข้าใจได้เลย ทั้งๆ ที่สิ่งนี้ก็มีปรากฏอยู่ทุกวัน สิ่งที่ปรากฏทางตาก็มี เห็นก็มี คิดก็มี จำก็มี สุขก็มี ทุกข์ก็มี มีหมด ไม่ว่าดีร้ายอย่างไร แต่ก็ไม่รู้ความจริง

    เพราะฉะนั้นสิ่งที่ประเสริฐอย่างยิ่งในสังสารวัฏฏ์ จากความมืดสนิท เพราะความไม่รู้ ก็ได้เข้าใจถูกต้อง เพราะฉะนั้นจะเห็นได้จริงๆ ว่า เห็นมี แต่ไม่รู้ว่าเห็น ความจริงของเห็น สัจจะ ความจริงแท้ของเห็นนั้นคืออะไร เพราะว่าถูกปิดบังไว้หมด ด้วยความไม่รู้ ด้วยความติดข้อง ด้วยการที่สะสมมาอย่างหนาแน่น ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าพระองค์ไม่ได้ทรงแสดงพระธรรมที่พระองค์ตรัสรู้ ใครจะรู้ได้ ก็มืดอย่างนี้ไปตลอด และก็ยิ่งทับถมความมืดมากขึ้นๆ

    เพราะฉะนั้นทั้งชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย อะไรจะประเสริฐที่สุด เพราะฉะนั้นมีชีวิตอยู่ เพื่อปัญญาปรากฏ เวลานี้ สิ่งต่างๆ ปรากฏ แล้วปัญญาอยู่ไหน ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีทางเลย ที่จะรู้ว่าแม้แต่คำที่พระองค์ตรัสเพียงคำเดียว ความเข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัสนั้น สามารถที่จะเข้าถึงความเข้าใจถูกต้องว่า พระปัญญาของพระองค์ที่ตรัสคำนั้นมากเพียงใด เพราะฉะนั้นทุกอย่าง ทุกนาที ควรจะเป็นสิ่งที่ทำประโยชน์มาให้กับตนเอง และชาวโลก สหายทั้งหลายที่เกิดมาร่วมกันในโลก ซึ่งเขาไม่รู้

    เพราะฉะนั้นถ้าจะทำสิ่งที่เป็นประโยชน์จริงๆ ก็คือว่า ต้องให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง นี่เป็นความหวังดีที่สุด ให้อะไรใครก็ตามแต่ สิ่งนั้นก็ต้องหมดไป แต่ว่าถ้าให้ความรู้ ให้ความเห็นที่ถูกต้อง มีแต่จะเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นนี่ก็เป็นสิ่งซึ่งถ้าเห็นค่าจริงๆ ไม่มีอะไรเปรียบได้เลย กับการที่มีโอกาสได้เกิดแล้ว และก็ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว

    เพราะฉะนั้นอยู่ที่การไตร่ตรอง เพราะว่าความลึกซึ้งของสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง สามารถจะทำให้ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่สะสมมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ และเริ่มเห็นตามความเป็นจริงว่า ไม่มี จริงหรือเปล่า ชาติก่อนมีไหม มี แต่เดี๋ยวนี้ไม่มี ชาติก่อนนั้นมีไหม ก็มี แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่มี ชาตินี้มีไหม มี แต่แล้วก็ไม่มี เพราะฉะนั้นทุกอย่างแสนสั้น ชั่วคราว แล้วประโยชน์อยู่ที่ไหน ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ก็มีแต่ความไม่รู้ และความติดข้อง จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    เมื่อเห็นค่าของสิ่งที่มีค่าที่สุด ใครจะละทิ้ง ไม่มีทางที่จะทอดทิ้งละเลย แต่ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าไม่มีความเข้าใจมั่นคงในสิ่งนี้ อวิชชา และความเป็นตัวตนก็ออกไปไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าตัวตนนั่นแหละ ทำให้เห็นว่าเป็นเราเห็นประโยชน์ เป็นเราที่พยายามอย่างยิ่ง ที่จะขัดเกลากิเลส หารู้ไม่ว่าเรานั่นคือความเห็นผิด ความเข้าใจถูกต่างหาก และความเข้าใจถูกก็น้อยมาก จากแต่ละคำที่ได้ฟัง ขึ้นอยู่กับว่าไตร่ตรอง ลึกซึ้ง และละความไม่รู้แค่ไหน

    เพราะฉะนั้นสำคัญที่สุดคือ ความจริง คือ ความรู้ ทำให้ละความไม่รู้ และความติดข้องในสิ่งที่ไม่มีค่า แต่ว่าถ้าไม่รู้อย่างนี้ ก็มีค่ามากมายมหาศาล แสวงหากันตลอดทั้งชาติ ชาติเดียวไม่พอ กี่ชาติๆ ก็แสวงหาอยู่นั่น แล้วอยู่ไหน ไม่มี


    หมายเลข 11509
    22 ต.ค. 2567