ชีวิตประจำวันเป็นไปในทางต่างๆ


    ทีนี้ก็มาถึงเรื่องของศรัทธา ใครจะรู้ดีกว่าใครไหมว่าใครมีศรัทธาเท่าไหร่ มากหรือน้อย นอกจากตัวเอง เพราะเหตุว่าแม้แต่การที่จะสนใจฟังธรรมหรือว่ากุศลประการใดก็ตามมีไม่ได้โดยไม่มีศรัทธาๆ เป็นสภาพธรรมที่ผ่องใส ขณะนั้นจิตปราศจากอกุศลใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ เพราะฉะนั้นเวลาที่กุศลจิตเกิดมีศรัทธา แต่ว่าศรัทธาระดับไหน ระดับของทาน สามารถที่จะสละวัตถุให้บุคคลอื่นก็เป็นไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นไปในกาม ก็เป็นกามาวจรกุศล ศรัทธาในศีล เพราะว่าเมื่อมีศรัทธาจิตผ่องใสเป็นกุศล ที่จะไปเบียดเบียนคนอื่นก็เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นแต่ละคนในแต่ละวัน ก็สามารถที่จะรู้สภาพธรรมที่สะสมมาตามความเป็นจริง เมื่อเกิดขึ้นว่าขณะนั้นเบียดเบียนใครหรือเปล่า แม้เพียงเล็กน้อยนิดเดียว เบียดเบียนโดยการโกง การทุจริต แม้ในการแข่งขัน ในการเล่นกีฬาหรือในการอะไรก็ตามแต่ ขณะนั้นก็ชื่อว่าเป็นผู้ที่เบียดเบียน ขณะนั้นก็จะเป็นผู้ที่มีศรัทธาไม่ได้ เพราะเหตุว่าศรัทธาต้องเป็นไปในขณะที่กุศลจิตเกิด ด้วยเหตุนี้แต่ละคนก็มีชีวิตประจำวันเป็นไปในทางต่างๆ แล้วแต่กิจการงานหน้าที่ เพราะฉะนั้นขณะนั้นมีอกุศลจิตรึกุศลจิตเกิดย่อมรู้ได้ และก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าทำไมอกุศลจิตเกิด ขณะใดที่อกุศลจิตเกิด ขณะนั้นไม่มีศรัทธา ถ้ามีศรัทธาจิตต้องผ่องใส และก็ไม่สามารถที่จะกระทำอกุศลใดๆ ได้เลย เพราะฉะนั้นนอกจากจะเป็นผู้มีศรัทธา การกระทำทางกาย ทางวาจาเพราะศรัทธาก็เป็นไปในทางกุศลด้วย เป็นไปในระดับของศีลที่ไม่เบียดเบียนคนอื่น และก็ยังเป็นไปในทานด้วยก็ยังไม่พอ นอกจากศรัทธา และศีลแล้วก็ยังมีการฟังพระธรรม เพราะเหตุว่าไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ โดยไม่ได้ฟัง จะคิดยังไงก็ไม่มีทาง กี่ภพกี่ชาติก็มีสิ่งที่ปรากฏ


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 233


    หมายเลข 11515
    28 ส.ค. 2567