มุ่งลาภหรือเปล่า
ลาภคือสิ่งที่น่าพอใจที่ได้รับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เพราะคุณความดีที่ได้ กระทำไว้แล้ว แต่ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ก็จะมุ่งลาภด้วยความไม่รู้
ท่านอาจารย์ เกิดมาแล้ว มีลาภใช่ไหม เกิดมาแล้วก็ต่อจากเป็นมนุษย์ก็ยังได้ลาภหรือมีลาภใช่ไหม
อ.วิชัย ก็มีอย่างอื่นด้วย
ท่านอาจารย์ รู้ไหมว่าทำไมมี เห็นไหม ไม่รู้เลยว่ามาจากไหน ไม่ว่ารูปร่างกายทั้งหมด มาจากไหน ได้มาแล้วใช่ไหม เข้าใจว่าเป็นของเราใช่ไหม
อ.วิชัย เข้าใจว่าเป็นของเรา
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ของคนอื่น อะไรนำมาให้ ซึ่งรูปนี้
อ.วิชัย กรรมนำมาให้
ท่านอาจารย์ คุณความดีใช่ไหม ที่ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็มีรูปร่างต่างๆ กัน มองเห็นอดีตชาติแสนโกฎกัป จากเดี๋ยวนี้ได้ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงธรรมได้เลย ขณะนี้ก็เป็นธรรม ซึ่งกำลังเกิดดับ ก็ไม่มีใครรู้ เพราะเหตุว่ายังไม่ได้เปิดเผย การฝ่ายธรรมก็เพื่อเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง จากคนที่ไม่รู้อะไรเลย แล้วก็หลงยึดถือทุกอย่างว่าเป็นเรา หรือเป็นของเรา ไม่ว่าจะได้ลาภมาจากไหน แต่ว่าถ้ามุ่งลาภ ด้วยกิเลสแล้วใช่ไหม หารู้ไม่ว่าลาภต้องมาถึงแน่นอน เพราะเหตุว่าบุญที่ได้ทำไว้แต่ปางก่อน แต่ว่าจะมาทางไหน ทางรูป ทางเสียง ทางกลิ่น ทางรส ทางอะไรก็แล้วแต่ ลาภ ยศ สรรเสริญต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่มาจากคุณความดีทั้งหมด
ถ้าไม่รู้อย่างนี้มุ่งลาภ หวังที่จะได้ และก็พยายามทุกทางที่จะได้ ถ้ามุ่งมาก ก็เป็นไปในทางทุจริตได้ พระธรรมที่ได้ทรงแสดงทั้งหมด เป็นความจริงให้เข้าใจในความเป็นธรรมว่า ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร และไม่ใช่ใครด้วย เห็นโทษแม้แต่การมุ่งลาภ และก็เห็นโทษแม้แต่การติดข้อง ซึ่งไม่รู้เลยมายังไง ไปยังไง แต่ถ้ารู้ตามความเป็นจริง คนที่ยังไม่ได้สามารถดับกิเลสได้ เป็นปุถุชน แต่ปุถุชนที่ฟังธรรมเข้าใจ เป็นกัลยาณปุถุชน เป็นคนที่ดีงาม กว่าคนที่ไม่ได้ฟังธรรม เพราะมีความเข้าใจถูก มีความเห็นถูก สามารถที่จะรู้หนทาง ที่จะเป็นอยู่ในโลกนี้ ด้วยความเป็นคนดี เพราะเหตุว่าสามารถที่จะเข้าใจธรรมได้ จนกระทั่งสามารถที่จะขัดเกลากิเลสยิ่งขึ้น นอกจากเป็นคนดี ยังเป็นพระอริยบุคคลได้ แต่ไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา หรือด้วยความขวนขวาย นั่นก็คือติดแล้ว แต่นี่ด้วยความเข้าใจถูก ความเห็นถูก
สิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต ไม่ใช่ลาภ ยศ สรรเสริญ สุขใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นความเข้าใจถูก ความเห็นถูก กิเลสที่มีมากในสังสารวัฎฎ์ ซึ่งแต่ละคนประมาณไม่ได้เลย สามารถจะค่อยๆ ลด ละคลายลงไป ทีละเล็กทีละน้อย จนกว่าจะถึงอภิสมัย สมัยที่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง ชาติแล้ว ชาติเล่า วันแล้ว วันเล่า จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริง ว่าทุกคำที่ได้ฟังเป็นสิ่งที่กำลังมีขณะนี้ ที่สามารถจะเข้าใจได้ ถ้าฟังเผิน คนฟังรีบทำความดี เพื่อที่จะได้ลาภ ไปวัด ไปทำไม อยากได้ อยากได้อะไร ได้ลาภ แต่ว่าไม่รู้หรอกว่า แค่ไปวัดจะได้ไหม แท้ที่จริงแล้วมุ่งเพื่อขัดเกลากิเลส ไม่ใช่พอรู้แล้ว กิเลสก็มาพาไปเลย คุณความดีทั้งหลายนำมาซึ่งลาภ ก็เลยพยายามรีบเร่งที่จะทำความดี ด้วยความเป็นตัวตน
ความลึกซึ้งของพระธรรม ต้องฟังด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่าเพื่อละ ถ้าไม่รู้ว่าเพื่อละแล้ว ไม่ใช่หนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แม้พระสูตรนี้ ถ้าฟังเผิน หรือฟังไม่เข้าใจ ก็รู้ว่าความดีทั้งหลาย นำมาซึ่งลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็จะอยากได้ ก็เลยทำความดี อยากได้บุญ เพื่ออะไร ที่ไม่เข้าใจว่า บุญคือการชำระจิตให้บริสุทธิ์ คือการขัดเกลากิเลสให้ค่อยๆ หมดไป
อ.ธิดารัตน์ ต้องเข้าใจธรรมหรือ ถึงจะไม่มุ่งลาภ แล้วเข้าใจธรรมระดับไหน ถึงจะไม่มุ่งลาภ
ท่านอาจารย์ คนที่ยังติดในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ยังไม่ถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล เพราะฉะนั้นเห็นกิเลสไหม มากระดับไหน ยังไม่ถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล คนอื่นจะยิ่งติดมากซักเท่าไหร่ แม้พระสกทาคามีบุคคล แม้พระโสดาบันบุคคล เพราะฉะนั้นจะพูดยังไงถึงปุถุชน ผู้หนาแน่นด้วยกิเลส แต่ก็ยังมีปุถุชน ซึ่งเป็นกัลยาณปุถุชน ฟังพระธรรมเข้าใจ ใช้คำว่าเข้าใจ ต้องไม่ประมาท ว่าเข้าใจจริงๆ หรือเปล่า ว่าธรรมไม่ใช่เรา ไม่ประมาทคือฟัง และก็เข้าใจว่า ต้องเป็นเรื่องละ ไม่ใช่เรื่องติดข้อง
พระผู้มีพระภาคทรงแสดงเหตุว่า การกระทำที่ทุจริตต่างๆ ทำร้ายตนเอง และคนอื่น ไม่ได้นำมาซึ่งความสุขเลย เกิดก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดในนรก เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสูรกาย ทำร้ายตนเอง แต่ว่าถ้าเป็นฝ่ายกุศล ก็ต้องรู้ว่าที่จะเป็นสิ่งที่ดีในชีวิตประจำวันที่ได้มา ก็เพราะอดีตกรรมที่ได้ทำไว้แต่ว่าความเข้าใจอันนี้ ยังไม่ได้ดับกิเลส ยังไม่ได้ดับความยินดี ความพอใจ ถ้าไม่แยบคายจริงๆ ทำเพื่อหวังผล แม้นิดหน่อย เพราะว่ายังมีความเป็นเรา แต่ว่าถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ว่าธรรมทั้งหมด เพื่อขัดเกลา เพราะฉะนั้นจะขัดเกลาได้ก็คือปัญญา ไม่ใช่อย่างอื่นจะขัดเกลาเลย ความเข้าใจถูกความเห็นถูก อย่างละเอียดยิ่ง แม้แต่จะเห็นโทษของความติดข้อง ฟังแค่นี้ ก็ยังติดข้อง ใช่ไหม ไม่สามารถที่จะละความติดข้องได้ ต้องเป็นผู้ที่ตรงด้วย
ฟังแค่นี้ไม่พอ ฟังแล้วต้องพิจารณาไตร่ตรองด้วยความละเอียด ว่าเพื่อละ มิเช่นนั้นแล้วการฟังทั้งหมดก็เป็นความโลภ เป็นความต้องการ ฟังธรรมแล้วได้ไปสวรรค์ ฟังธรรมแล้วอย่างนั้นอย่างนี้ ที่ต้องการบุญ หวังบุญ ไปวัดเพื่อได้บุญ ไปทำบุญ ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าเขาไม่ได้เข้าใจธรรมว่าเพื่อขัดเกลา เพื่อละคลาย
อ.ธิดารัตน์ มีหนทางเดียวก็คือขณะที่เข้าใจธรรมนั่นแหละ ถึงจะค่อยๆ ขัดเกลาความติดข้องในลาภ
ท่านอาจารย์ หนทางเดียว เพราะว่าขณะใดที่เข้าใจ ขณะนั้นจะไม่มีอวิชชา ไม่มีกิเลสใดๆ แม้ความติดข้อง กำลังฟังธรรมท่ามกลางอกุศล แต่ก็ไม่ต้องไปสนใจที่จะเป็นตัวตนที่จะไปละ แต่เข้าใจเมื่อไหร่ ความเข้าใจนั่นแหละกำลังทำหน้าที่ ที่จะค่อยๆ ละ