กรรมฐาน
กรรมฐานคือสิ่งที่กำลังปรากฏให้ปัญญารู้ตามความจริงในขณะนี้เอง และการให้กรรมฐานก็คือการให้ความเข้าใจที่ถูกต้องว่าสิ่งที่ควรรู้ยิ่งก็คือความจริงที่ปรากฏขณะนี้
จากการสนทนาเรื่องปฏิบัติธรรมที่ มศพ.
๑๗ กันยายน ๒๕๖๐
ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว สิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่งไหม เพราะว่ามีทุกวัน แต่ไม่รู้ ไม่ใช่ไปรู้อย่างอื่น แต่รู้สิ่งที่ไม่รู้ เดี๋ยวนี้มีแข็งปรากฏ เป็นกรรมฐานหรือยัง
ผู้ฟัง ใช่
ท่านอาจารย์ ถึงรู้ว่ามีแข็ง ก็ไม่ใช่ว่าขณะนั้นเป็นกรรมฐาน ต้องปัญญาเริ่มเข้าใจถูก ในความไม่ใช่ตัวตนเมื่อไหร่ ตรงนั้นแหละเป็นที่ตั้งของปัญญา ที่จะเจริญขึ้น
ผู้ฟัง ยังไม่รู้สภาวธรรมเลย จะไปกรรมฐานได้ยังไง
ท่านอาจารย์ ไม่มีทาง จะไปหากรรมฐานที่ไหน ถ้าไม่รู้ ก็ไปหาที่อื่น แต่ที่มีแล้วนี่แหละ รู้หรือเปล่า ถ้าไม่รู้ก็ยังไม่เป็นกรรมฐาน กรรมฐานไม่ใช่รู้อย่างอื่น รู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ แต่ไม่ใช่เรา ไปพยายาม แต่ปัญญาความเข้าใจถูกค่อยๆ เป็นแสงสว่าง ที่จะนำมาสู่ตัวจริงของเห็น ซึ่งกำลังเห็น จนกระทั่งประจักษ์แจ้งว่า เกิดขึ้น และดับไป
อ.อรรณพ กราบเรียนท่านอาจารย์ว่า ให้กรรมฐานก็มี หรือรับกรรมฐานก็มี เช่นรับกรรมฐานในสำนักท่านพระสารีบุตร
ท่านอาจารย์ ให้กรรมฐาน ให้อะไร เอาเห็นมาให้ หรือยื่นแข็งให้ หรืออะไร ให้กรรมฐาน คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด นำมาซึ่งปัญญา ถ้าไม่มีความเข้าใจไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย จะฟังใครพูดกี่วัน กี่เดือน กี่ประโยคก็ตามแต่ แต่ไม่สามารถที่จะทำให้เข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ คำนั้นๆ ไม่ใช่คำของสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าบอกว่านั่งกรรมฐาน จะยืน จะเดินกรรมฐาน แต่ไม่รู้ว่ากรรมฐานานคืออะไร นั่งกรรมฐานเดี๋ยวนี้นั่งแล้วใช่ไหม หรือต้องไปนั่งใหม่ ก็ยืนกรรมฐานมีไหม คิดสิ่ ไม่ว่าอิริยาบถใดทั้งสิ้น มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ใครจะใช้คำอะไรก็ตามแต่ ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า สิ่งที่มีจริงนี่แหละ ไม่รู้ ไม่ต้องไปหาความไม่รู้ที่ไหนเลย ไม่รู้ทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็เป็นเราไปทั้งหมด เพราะไม่รู้ ซึ่งไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง
ด้วยเหตุนี้เมื่อฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็รู้ว่ามีความเข้าใจผิด และมีความไม่รู้ ในสิ่งที่ปรากฏ ทั้งทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้งวันทุกวันด้วย แต่อาศัยการฟังเข้าใจนี่แหล่ะ จะเข้าใจทุกคำว่าแม้แต่กรรมฐาน ที่ตั้งที่ปัญญาจะเกิดขึ้น กระทำกิจเห็นถูกต้อง ก็คือสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ตามปกติ ไม่ใช่ว่าให้ไปทำกรรมฐาน หรือว่าให้ไปนั่งกรรมฐาน แล้วก็ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เรา ในขณะที่กำลังเห็น ระลึกได้เมื่อไหร่สิ่งนั้นแหละไม่ใช่เรา แต่ไม่ใช่เพียงแค่คิด ไม่ใช่ระลึกว่าไม่ใช่เรา แล้วก็ระลึกไปเรื่อยๆ ว่าไม่ใช่เรา แต่ลักษณะที่ปรากฏต่างหาก เป็นเราได้หรือ อย่างแข็งอย่างนี้ จะเป็นเราหรือ
ผู้ฟัง ไม่ใช่
ท่านอาจาย์ และขณะที่แข็งปรากฏ อย่างอื่นก็ไม่มีเลย เราหายไปไหนหมด มีแต่แข็ง ซึ่งแข็งก็จะปรากฏการเกิดขึ้น และการดับไป ตามกำลังของปัญญา ซึ่งแข็งนั่นแหละ เป็นกรรมฐานที่ตั้งของปัญญา ที่จะเจริญขึ้นจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ตัวจริงของธรรม ธรรมทั้งหมดเป็นฐานะที่ปัญญาจะเกิดขึ้น กระทำกิจค่อยๆ เข้าใจถูกต้อง พร้อมกับสติ ซึ่งเป็นสภาพที่ระลึกตรงลักษณะที่กำลังปรากฏ สภาพธรรมไม่ใช่อย่างเดียวกัน สติไม่ใช้ปัญญา สติทำหน้าที่ของสติ ปัญญาทำหน้าที่ของปัญญา แล้วแต่ว่าอะไรจะปรากฏ ก็เข้าใจถูกต้อง ในสิ่งนั้น ทีละหนึ่ง กำลังให้กรรมฐานหรือเปล่า เห็นไหม ให้ความเข้าใจ ไม่ใช่ไปเอาเห็นมาให้ ไปเอาได้ยินมาให้ แต่ให้เข้าใจถูกต้องว่า กรรมฐานคืออะไร ให้ความเข้าใจที่ถูกต้อง