อุปกิเลส
กิเลสมีหลายระดับทั้งที่มีกำลังน้อย และมีกำลังมาก ซึ่งอุปกิเลสเป็นกิเลส ที่มีกำลังมาก จนปรากฏอาการให้เห็นได้ เช่น ความลบหลู่ และโลภะที่มี กำลังมากกว่าปกติ เป็นต้น
อ.ธิดารัตน์ กิเลส ท่านยังแสดงชื่อหลากหลาย ส่องให้เห็นสภาพธรรมที่มีความต่างกัน เช่นกิเลสที่เป็นอนุสัยก็มี ใช่ไหม อย่างกิเลสที่ใช้คำว่าอุปกิเลส
ท่านอาจารย์ ก็เป็นชีวิตประจำวันไม่ใช่เราเรียนตัวหนังสือ อยู่ในหนังสือหน้าไหน อยู่ในหมวดไหน ข้อไหน แต่ว่าความเข้าใจสภาพธรรมเดี่ยวนี้ มาจากการที่ได้ยิน ได้ฟัง ซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อน ว่าเดี๋ยวนี้กำลังมีกิเลส แล้วกิเลสอย่างนี้ก็เป็นธรรมดาปกติ มีใครบ้างที่ไม่มี ตื่นขึ้นมา ก็มีความยินดี มีความต้องการที่จะทำสิ่งนั้น สิ่งนี้ เป็นสภาพธรรมดาปกติของชีวิต เฉพาะผู้ที่ดับกิเลสแล้วเท่านั้นจึงไม่มี แต่ถ้ายังเป็นผู้ที่มีกิเลสอยู่ ชีวิตประจำวันทั้งหมดส่องให้เห็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ปกติธรรมดาเป็นกิเลส ปกติธรรมดาเป็นกิเลสแล้วจะรู้มั้ย ปกติอย่างนี้แล้วก็มีกิเลส แล้วจะรู้ไหม กำลังมีกิเลสรู้ไหม นี่สวยๆ งามๆ ทั้งนั้นเลยบนโต๊ะ รู้ไหม ยังโน้นอีก รู้ไหม ไม่รู้เลย ดูเหมือนเป็นธรรมดา เป็นปกติ แล้วใครล่ะ ไม่ใช่เรา แต่แสดงว่าขณะนั้นเป็นสภาพธรรมที่มีจริงๆ เกิดก็ไม่รู้ ดับก็ไม่รู้ และก็ไม่รู้ด้วย ทั้งๆ ที่ขณะนั้นก็เป็นเราเห็น เราได้ยิน แต่ผ่านไปหมดก็ไม่รู้ ไม่รู้สักอย่างเดียว ตามความเป็นจริง
แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ต้องไปหาที่อื่น เดี๋ยวนี้เอง แสดงว่าถ้าฟังแล้วรู้เลยว่าการที่เราจะไปคิดเอง ทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อที่จะละคลายกิเลส เป็นสิ่งที่ลบหลู่พระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนอื่นทำได้หรือ ที่จะดับกิเลส ซึ่งเดี๋ยวนี้กำลังมี ในขณะที่สิ่งที่ปรากฏทางตากำลังปรากฏอย่างนี้เอง เดี๋ยวนี้ก็มีกิเลสแล้ว เพราะเหตุว่ายังมีกิเลสที่มีอยู่ในใจตลอดเวลา จะหลับหรือจะตื่น ยังไม่ถูกดับไปเลย แต่ละวันก็มีกิเลสที่เพิ่มขึ้นนานาประการ แต่ก็เห็นได้ว่าอัธยาศัยของแต่ละคนในวันนึงๆ ไม่เหมือนกัน บางคนก็เป็นผู้ที่มีปกติ ไม่ลบหลู่ แต่บางคนก็มีปกติที่คิด แม้คิดก็ลบหลู่ เขาไม่เก่ง เขาไม่ถูก หรืออะไรก็ตามแต่ แต่โดยเฉพาะผู้ที่มีคุณความดีแล้วลบหลู่ คนที่ไม่มีปัญญาแล้วลบหลู่ ว่าแค่นี้เองพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ต้องให้ทำอะไรเลยนอกจากไปสำนักปฏิบัติ แล้วก็ไปนั่ง แล้วก็ขณะนั้นก็ปัญญาเกิดขึ้น หรือคนที่ไม่รู้ตัวเลยว่าลบหลู่ กำลังฟังอย่างนี้ บางคำจับมา เกิดอาการอย่างนั้น ใช้แล้ววิปัสสนาญาน ลบหลู่ไหม ไม่มีการที่จะรู้เลยว่าตามความเป็นจริง กิเลสมากมายมหาศาลตามปกติ เป็นชีวิตประจำวันจริงๆ แต่ละคำที่ฟังธรรมให้ทราบว่า ไม่ใช่ใครอื่นเลย แต่เป็นธรรมเดี๋ยวนี้ ซึ่งเป็นธาตุหรือเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่ใครทั้งสิ้น นอกจากสภาพธรรมนั้น เกิดขึ้นก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม
การฟังพระธรรมก็เพื่อให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องในชีวิตปกติ ตอนนี้ทุกคนก็รู้จักคำนี้แล้วใช่ไหม สมโลภะ โลภะปกติธรรมดา สม่ำเสมอเป็นประจำ ไม่ว่าจะเห็นอะไร ได้ยินอะไร ได้กลิ่นอะไร กำลังสะสมความติดข้อง แต่เบาบาง ไม่รุนแรง ไม่ปรากฏก็เลยมองไม่เห็น อภิชฌาสมโลภะ วิสมโลภะ ต่างกันแล้วใช่ไหม
อ.ธิดารัตน์ ต่างกันที่ มีกำลังมากกับมีกำลังน้อย
ท่านอาจารย์ แน่นอน ก็ชีวิตประจำวัน ที่บนโต๊ะ ชอบอะไรที่สุด ให้เลือกเลย เริ่มมีกำลัง แต่กำลังของกิเลส มีตั้งแต่ค่อยๆ เพิ่มจากน้อยที่สุด จนถึงมีกำลังพอที่จะปรากฏชอบอันนี้ แต่ก็ยังไม่มากมายถึงกับจะขอเอาไปบ้าน แต่ว่าถ้ามีกำลังเพิ่มขึ้นเห็นไหม ชีวิตประจำวันจริงๆ นี่แหละคือธรรมทั้งหมด ถ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงโดยความละเอียดยิ่ง ใครจะรู้ว่าไม่ใช่เรา แม้แต่ทุกๆ คำ ก็คือเป็นธรรมทั้งหมดในชีวิตประจำวัน แต่ถ้ามีกำลังมากกว่านั้น หยิบไปเลย ไม่ขอ หยิบไปเลยกำลังมากกว่าคิดที่จะขอเอาไป แต่ก็หยิบไปเลย และก็หยิบไปเลย ถ้ากำลังมากกว่านั้นอีก หยิบไปหมดเลย หรืออาจจะหยิบไปเป็นบางส่วน แล้วแต่กำลังของโลภะ คือชีวิตจริงๆ พูดคำไหนขอให้เข้าใจ ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม ซึ่งกว่าจะรู้ว่าไม่ใช่เรา ต้องอาศัยความเข้าใจอย่างละเอียดมากแค่ไหน กว่าปัญญาแต่ละขั้นจะเพิ่มขึ้น โดยการไม่รู้สึกเลย เหมือนกับจับด้ามมีด ปัญญาที่กำลังเพิ่มขึ้นเหมือนอย่างนั้นเลย เดี๋ยวนี้จิตเจตสิกทั้งนั้น แล้วถ้ามีความเข้าใจก็ปัญญานั้นแหล่ะ กำลังค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้น เป็นสังขารขันธ์ ที่เราได้ยินบ่อยๆ ใช่ไหม สภาพธรรมที่ปรุงแต่ง กำลังปรุงแต่งทุกขณะ ไม่ต้องมีตัวตนไปเพิ่มเติม ไปทำอะไร ให้ผิดพลาดจากความเป็นจริง