ไม่ใช่เป็นเราที่จะ ปล่อยวาง
ปัญญาที่เข้าใจสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่าง แล้วละคลายความยึดถือสภาพธรรม ว่าเป็นตัวตน จึงจะเป็นการปล่อยวางตามความเป็นจริง ไม่ใช่เป็นเราที่จะ ปล่อยวาง
อ.อรรณพ ที่ว่าปัญญาปล่อยวาง ปล่อยวางอย่างไร
ท่านอาจารย์ คุณดลยาลองขอยืมแว่นตาคุณวิศิษฎ์ที่นั่งใกล้ๆ ถือไว้หน่อย วางลงสิคะ ปล่อยวางหรือยัง
ผู้ฟัง วางแล้วค่ะอาจารย์
ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ ว่าไม่ได้วางอะไร เพราะยึดถืออะไรไว้ แม้แต่ขณะนั้นเป็นแว่นตา ก็ยึดถือแล้วว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ว่าไม่ได้ปล่อยวาง ว่าแท้ที่จริงสิ่งที่เราเคยคิดว่าเป็นเรา มีเรา เป็นของเราทั้งหมด แท้ที่จริงแล้วคืออะไร ก็คือสิ่งนั้นมี ไม่ใช่ไม่มี แต่มีเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอยู่ตลอดเวลา เสมือนว่าไม่ดับไป คงที่อยู่ ทำให้มีการติดข้อง ยึดถือสิ่งที่เป็นของเรา และตัวเรา
เพราะฉะนั้นขณะที่ถาม และคุณดลยาบอกว่า วางแล้ว ไม่ได้วางอะไรเลยทั้งสิ้น ยังคงเป็นแว่นตา แต่ไม่ใช่เป็นธรรม และยังเป็นตัวคุณดลยาที่วางลงไป แต่ไม่ได้เข้าใจเลยว่าไม่มีเรา เพราะฉะนั้นการฟังธรรมที่ต้องเริ่มต้น และมั่นคงจริงๆ ก็คือว่าเข้าใจว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เราจะไม่กล่าวถึงสิ่งที่ไม่มี ใช่ไหม แต่ว่าทั้งๆ ที่มีนี่ ก็ไม่เคยรู้ความจริงของสิ่งที่มี จึงมีความติดข้องด้วยประการทั้งปวงมากมายมหาศาล
เพราะฉะนั้นที่จะละการยึดถือ ติดข้อง ต้องเพราะความเข้าใจถูกต้อง ว่าไม่ใช่สิ่งที่มีตลอดเวลา เพียงมีเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ถ้ารู้จริงๆ อย่างนี้ ก็จะปล่อยวางการที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะความจริงก็คือว่า เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละอย่าง แต่ละหนึ่ง แข็งเป็นแข็ง ที่ตัวคุณดลยาก็มีแข็ง ที่ตัวลูกก็มีแข็ง แล้วทำไมไปว่าลูกของเรา ก็แข็งกับแข็ง ที่ตัวก็แข็ง ที่ลูกก็แข็ง แข็งก็มีจริงๆ แข็งเกิดขึ้น และแข็งก็ดับไป ไหนล่ะลูก ก็แค่แข็ง แค่เห็น แค่ได้ยิน ทุกอย่างที่รวมกันเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และก็ยึดถือว่าเป็นของเรา ยังไม่ได้ปล่อยวาง ยังคงเป็นเรา และของเรา จนกว่าปัญญาสามารถจะเข้าใจความจริงของธรรมแต่ละหนึ่ง
ผู้ฟัง ฟังเผินๆ นะคะ อาจารย์ เหมือนกับอาจารย์บอกว่า อย่าจะไปรักลูก อย่าไปห่วงลูกอะไรประมาณนี้
ท่านอาจารย์ นี่คะ ไม่ได้บอกให้ใครทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเป็นอนัตตา แต่ปัญญาก็มีความเห็นที่ถูกต้อง จะให้ปัญญาเข้าใจผิดไม่ได้ และความเห็นผิด ความเข้าใจผิด ก็จะกลับกลายเป็นความเห็นถูกไม่ได้ ต้องเห็นผิด เพราะฉะนั้นเห็นผิดมานานเท่าไหร่ ว่ามีเรา ทั้งๆ ที่ตอนเกิด ก่อนเกิดไม่มีเราอยู่ไหน แต่พอเกิดเป็นธรรมที่เกิด ก็เข้าใจผิดว่าเป็นเรา ทั้งที่ธรรมก็เกิดดับอยู่ทุกขณะก็ไม่รู้
เพราะฉะนั้นจึงมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เพื่อที่จะเข้าใจความจริงถึงที่สุด ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้เลย นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีตรัสรู้ และทรงแสดงธรรมให้เราเข้าใจ ปล่อยวางหรือยัง
ผู้ฟัง ยังค่ะ
ท่านอาจารย์ ถูกต้องค่ะ ปัญญาอย่างนี้ปล่อยวางอะไรได้ ยังเป็นเราที่กำลังฟัง เพราะฉะนั้นจะรู้ได้ว่าการปล่อยวางไม่ใช่เราปล่อยวาง แต่เป็นปัญญาระดับไหน และก็ปัญญานั้นมาจากไหน เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ไม่ใช่ไปทำ แล้วบอกว่าให้เข้าใจอย่างนั้น ให้เข้าใจอย่างนี้ นั่นไม่ถูกต้อง เพราะว่าเขาไม่เข้าใจแม้แต่ว่า ธรรมคืออะไร