กิเลสที่บางเบา
อาสวะคือกิเลสที่ละเอียดไหลไปทางตาหู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทันที ได้แก่ กามาสวะ คือความติดข้องในรูปเสียง กลิ่นรส โผฏฐัพพะ ภวาสวะ คือความติดข้องในความมีความเป็น ทิฏฐาสวะ คือความเห็นผิดว่าเป็นเรา และอวิชชาสวะ คือความไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง
ท่านอาจารย์ เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเข้าใจธรรม ถ้าเข้าใจละเอียดลึกซึ้งขึ้น ก็จะยิ่งเห็นพระปัญญาคุณ เพราะเหตุว่าแม้แต่เพียงคำว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีการเกิดขึ้น สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เท่านี้ก็ยังไม่มีความละเอียดพอที่จะสามารถเข้าถึงสภาพธรรมนั้นได้ ได้ยินสักแสนครั้ง แค่สองประโยคนี้ สามารถที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏได้ไหม
อ.อรรณพ ไม่ได้เลย
ท่านอาจารย์ ก็ไม่ได้ต่อเมื่อไหร่ฟังมาก เพื่อที่จะได้รู้ว่า ทุกคำพูดถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ให้เข้าใจจนกว่าจะมั่นคงว่า ไม่ใช่เรา เพราะคิดดูถึงความละเอียดของธรรม จิตเห็น เอาเห็นนี่หล่ะ เกิดแล้วดับแล้ว จิตที่เกิดต่ออีก ๓ ขณะดับแล้ว อาสวะ สิ่งที่หมักหมม สะสมอยู่ในจิต ไม่มีใครทำเลย เกิดทันที พร้อมทันทีที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดกระทบตา มีอาสวะ กิเลสที่ละเอียดมาก ไหลไปทันที ยับยั้งไม่ได้เลย ถ้าเป็นการพอใจในสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็เป็นกามาสวะยับยั้งได้ไหม ยังไม่ทันรู้เลย ว่าเป็นอะไร นี่คือความละเอียดอย่างยิ่ง ยังไม่รู้ว่าเป็นดอกไม้ ยังไม่ใช่คุณคำปั่น แต่ว่าขณะนั้นก็มีอาสวะ ถ้าเป็นความยินดีพอใจในสิ่งที่ปรากฏ เป็นสีสันวรรณะต่างๆ ซึ่งจะห้ามไม่ให้พอใจ แม้ในสีสันวรรณะซึ่งยังไม่ปรากฏว่าเป็นอะไรเลย ได้ไหม ไม่ได้เลย แค่ปรากฏโดยยังไม่รู้ว่าอะไรก็ติดละ พอใจละ เพราะว่าจากการที่สิ่งนั้นไม่ปรากฏ แล้วเกิดมีสิ่งนั้นขึ้น ปรากฏให้รู้ เพียงแค่มี จากไม่มีเลย แล้วก็เกิดขึ้นปรากฏให้เห็นว่ามีเท่านั้น ก็มีความพอใจ ติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ โดยยังไม่เป็นคน ยังไม่เป็นสัตว์ยังไม่เป็นอะไรเลยทั้งสิ้น นี่อาสวะ
เพราะฉะนั้นปัญญาที่สามารถที่จะละกิเลส ก็คือสามารถที่จะเกิดความรู้ความเข้าใจ ในสิ่งซึ่งเคยเป็นอาสวะ กามาสวะ ภวาสวะ ความเป็น นี่เป็นภาษาบาลีจริงๆ แต่ก็คือเดี๋ยวนี้เอง ภวคือภพ ความมี ความเป็น อาสวะก็เป็นสภาพของกิเลสที่หมักดอง อยู่ในจิตที่พร้อมที่จะไหลไป โดยใครยับยั้งไม่ได้เลย อกุศลเจตสิกมี ๑๔ แต่เจตสิกที่เป็นอาสวะ มีเท่าไหร่
อ.คำปั่น มี ๓ ครับ
ท่านอาจารย์ มี ๓ ทำไมต้องพูดถึงอย่างนี้ด้วยล่ะ ก็เพราะเหตุว่าให้รู้ว่าไม่ใช่เราเลย อาสวะมี ๔ แต่กิเลสที่เป็นอาสวะมี ๓ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง คิดเองได้ไหม ไม่มีทางที่จะคิดเองได้เลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ความมี ความเป็น เป็นใครที่นั่งอยู่ตรงนี้ ต้องมีใครมาบอกไหม เกิดมาก็เป็นแล้ว ไม่ต้องมีพ่อ แม่ พี่ น้อง พี่เลี้ยงอะไรมาบอกเลย ว่าเป็น ก็เกิดมาเป็น เป็นใคร ก็เป็นเป็นธรรม เป็นอย่างนี้ ก็คือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีชีวิต
เพราะฉะนั้นโลภเจตสิก เป็นสภาพธรรมที่ยินดีติดข้อง ในสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นอาสวะหนึ่งอาสวะใด แต่ก็เป็นกามาสวะ และก็ความติดข้องในความเป็นเรา ในความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีชีวิต ในภพในความเป็น แล้วยังติดข้องในความเป็นเราเพิ่มอีก ทำไมกามาสวะไม่ใช่เรา แต่ทิฎฐาสวะความเห็นผิดว่าเป็นเรา ภวาสวะ คือความที่ติดข้องในความเป็น เห็นไหม ความละเอียดของธรรม ในสิ่งที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นกามาสวะ ในความติดข้อง ในความเป็น เป็นภวาสวะ แล้วยังยึดถือสิ่งนั้น ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นอัตตา เป็นทิฏฐาสวะ แล้วก็เพราะความไม่รู้ จึงเป็นอวิชชาสวะ
เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม จะค่อยๆ นำไปสู่ความเข้าใจที่ถูกต้องตามลำดับ ถ้าไม่มีใครเข้าใจพระธรรมที่จะรู้จักความจริง ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง จะไม่มีทางที่จะรู้จักคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระปัญญาคุณของพระองค์เลย แต่ว่าถ้าเราได้ยินอย่างนี้ เราก็เริ่มที่จะสะสมความเห็นที่ถูกต้อง ว่าไม่มีเรา แต่เดี๋ยวนี้มีอาสวะใช่ไหม เป็นกิเลสใช่ไหม เน่าไหม นี่ก็แสดงให้เห็นว่า มีสิ่งซึ่งเน่า แต่กลิ่นยังไม่มี ได้ไหม บางอย่างต้องยกขึ้นดม เน่าหรือยัง แต่ความจริงก็เน่าแล้ว แต่ยังไม่ได้ส่งกลิ่น นี่ก็เป็นเรื่องของเดี๋ยวนี่เอง ให้เห็นความไม่ใช่เรา ให้เห็นความเป็นอกุศล ให้เห็นความที่สะสมความไม่รู้มานานแสนนาน จึงยับยั้งไม่ให้สภาพธรรมที่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏนี้เกิดได้ ด้วยเหตุนี้ การฟังพระธรรมแต่ละคำ ไม่ใช่ให้ใครไปทำ ไม่ใช่ให้ใครไปหวังความสงบ ไม่ใช่ต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น แต่ว่าเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มี แต่ใครก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจถูกได้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม