กว่าจะสะสางความเป็นเรา


        ความเข้าใจเพียงเล็กน้อย ผสมกับความคิดของเรา ไม่ใช่สติสัมปชัญญะที่ จะละความเป็นเราได้เลย แต่ต้องอาศัยการฟังทีละน้อยสะสมไป จนกว่า ปํญญาจะสามารถรู้ตรงลักษณะสภาพธรรม และประจักษ์แจ้งได้ตาม ความเป็นจริง


        ผู้ฟัง ไม่มีธรรม ก็ไม่มีเรา

        ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นปัญญาอยู่ตรงนี้ ที่เข้าใจถูกต้อง เริ่มทีละเล็กทีละน้อย อย่าคิดว่ามันจะหมดไปเลย เริ่มฟัง เริ่มเข้าใจ ให้รู้สึกเสมอ ว่าเริ่มทุกครั้ง เพราะว่าเข้าใจนิดนึง อกุศลปิดบังอีกเท่าไหร่ในวันนึง ก่อนที่เราจะได้ฟังก็เป็นอกุศลซะมากมาย ฟังแล้วแค่เราไปรับประทานอาหาร ที่ฟังแล้วก็คืออกุศลมาละเยอะแยะ กับที่ฟังอยู่ แล้วกลับไปบ้าน แล้วทั้งวันกว่าจะได้ฟังอีก เพราะฉะนั้นประมาทไม่ได้เลยว่า ตั้งต้น ตั้งต้นอีกๆ ๆ เพราะเหตุว่าถูกปกปิดไว้อีกๆ ถูกปกปิดไว้อีกตลอด เพราะฉะนั้นเราไม่ได้ไปคิดหวังเลย ว่าเราจะรู้มากแค่ไหนเมื่อไหร่ เพราะนั่นคือเรา และโลภะก็อยู่ตรงนั้น ไม่ยอมที่จะพลัดพรากจากไปเลย อยู่ตลอดเวลา จนกว่าฟังธรรมเดี๋ยวนี้ อย่างที่คุณสุกัญญาถาม เข้าใจตรงนี้หมดละ ตั้งต้นใหม่อีก เป็นเราหรือเปล่า

        เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่ว่าเราสามารถที่จะประจักษ์ภาวะที่ไม่ใช่เราโดยทันที แต่เราสะสมมาแล้วที่จะเข้าใจ ทีละเล็กทีละน้อย ว่าแต่ละหนึ่ง เป็นแต่ละหนึ่ง อย่างสิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นหนึ่ง ในบรรดาธรรมทั้งหมดที่สามารถจะปรากฏให้เห็นได้ แค่นี้ถ้าปัญญาของเรามีน้อยมาก ฟังแล้วก็ธรรมดา เริ่มเข้าใจถูกต้องว่า ที่เราเข้าใจ ว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล แต่ความจริงที่อยู่เบื้องหลังจริงๆ ที่ถูกต้องจริงๆ ก็คือมีสิ่งที่กระทบตา แล้วปรากฏสืบต่อกัน

        เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจ แค่เริ่ม ฟังบ่อยๆ จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ เราก็สามารถที่จะคิด ขั้นคิด ว่าขณะนี้ก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่เราจำ สิ่งที่ปรากฏว่าเป็นนั่นเป็นนี่ตลอดเวลา กว่าจะจางหายไปว่า ไม่ใช่แค่จำนะ ความจริงเป็นอย่างนั้น เพราะเหตุว่าจำมีหลายอย่าง ใช่ไหม จำถูก จำผิด วิปลาส สัญญาวิปลาส จำผิด คือจำว่าสิ่งที่ปรากฏ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด มั่นคงเหลือเกิน นี่ดอกกุหลาบยังไงๆ เห็นทีไร ก็เป็นดอกกุหลาบ ไม่ปรากฏว่าแค่ปรากฏให้เห็นได้

        เพราะฉะนั้นลองเทียบน้ำหนัก ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคง เป็นสิ่งที่เพียงแค่ปรากฏ โลภะติดข้องด้วยความไม่รู้ ไปติดของในสิ่งที่เพียงปรากฏชั่วคราวแล้วหมดไป เพราะฉะนั้นแต่ละคำๆ ไม่ใช่ให้เราไปละทันที ว่าพอกระทบแล้วไม่ใช่เรา แต่ว่าให้เข้าใจจริงๆ ว่ากว่าจะค่อยๆ สะสางหรือค่อยๆ ลบล้างความที่เคยยึดมั่นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะต้องเป็นไปทีละเล็กทีละน้อยแค่ไหน และนี่ก็คือขั้นปริยัติ ฟังมากี่ชาติ กี่ร้อยชาติ กี่พันชาติเทียบดู ชาติหนึ่งก็คือว่าเป็นคนหนึ่ง

        เพราะฉะนั้นถ้าเราตายวันนี้ เราฟังมาเท่าไหร่ พอไหม ก็ยังไม่พออีก เกิดใหม่ก็ฟังอีก แต่ว่าความเข้าใจค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ ไม่ต้องไปคิดเรื่องปฏิบัติ ไม่ต้องไปคิดเรื่องขณะนี้ดับแล้ว ไม่ต้องไปคิดว่าขณะนี้เรารู้นิดเดียว ขณะนั้นคือความเข้าใจเพียงเล็กน้อย ผสมกับความคิด แต่ไม่ใช่ตัวที่เป็นสติสัมปชัญญะ ซึ่งกว่าจะรู้อย่างนี้ได้ ลองคิดดู การฟังแต่ละคำ แต่ละคำจริงๆ ทีละคำๆ ค่อยๆ สะสมไป กว่าจะถึงปฏิปัตติ คือรู้เฉพาะที่กำลังปรากฏ โดยความเป็นอนัตตา ลืมคำนี้ไม่ได้เลย ตลอดหนทางนี้ที่จะละความเป็นอัตตา ก็ด้วยความเข้าใจในความเป็นอนัตตา

        เพราะฉะนั้นถ้ายังเป็นเราเมื่อไหร่ นั้นก็คือผิด นั้นไม่ถูก นั้นไม่ใช่ความจริง เพราะเหตุว่ายังมีเราอยู่ แต่ที่สภาพธรรมที่เกิดขึ้นโดยความเป็นอนัตตา แม้สติที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ครั้งแรกจะเท่ากับการฟังครั้งแรกไหม น้อยขนาดนั้นไหม น้อยขนาดนั้นเลย เพราะว่าเปลี่ยนภาวะจากการแค่ฟังเข้าใจ มาสู่ภาวะที่ถึงเฉพาะ แต่ความเข้าใจที่สะสมมาว่ามาก กับความเข้าใจที่เกิดพร้อมสติน้อยไหม เห็นไหมเทียบกันดู และอีกนานเท่าไหร่ กว่าการที่สติสัมปชัญญะจะเกิดบ่อย จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าถึง ประจักษ์แจ้งตามลำดับขั้น ไม่ใช่ว่าจะหมดความเป็นเราได้ทันที

        เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของการอบรมที่บารมีทั้งหมด แม้แต่ขันติ อดทนไหมที่กำลังฟัง ไตร่ตรองกว่าจะเข้าใจ อดทนไหม เพราะว่าไม่ใช่เข้าใจได้ทันที ต้องอดทนไตร่ตรองที่จะมั่นคง ว่าไม่ใช่ทันทีๆ แค่ฟังแล้วมาประกอบกันนี่มันหมดแล้วไม่ใช่ นั่นคือคิด การประจักษ์แจ้งกับคิดไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเวลาที่มีการเข้าใจว่าสติสัมปชัญญะเกิดใช่ไหม ก็ต้องรู้ว่าความน้อยมันแค่ไหน แต่มันเปลี่ยนระดับจากขั้นปริยัติที่ฟังเข้าใจ มาถึงตัวธรรม แต่ตัวธรรมอาศัยความเข้าใจที่ได้ฟังมาแล้วทั้งหมด มาเริ่มต้นที่จะถึงเฉพาะ นี่คือการเริ่มต้นที่จะถึงเฉพาะทีละหนึ่ง เพราะฉะนั้นความเข้าใจที่เราฟัง ไม่ใช่เลย คนละระดับ

        เพราะฉะนั้นจะต้องอาศัยความเข้าใจในความเป็นอนัตตา รู้แม้แต่ขณะนั้น ต้องการไหม มาแล้ว เราใช่ไหม ยังอยู่ที่นั่น เพราะฉะนั้นตรงตามที่ทรงแสดงว่าขันธ์ ๕ ไม่แคล้วไปเลย เพราะเหตุว่าถ้าขณะใดที่มีขันธ์หนึ่งขันธ์ใด สิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ เราอยู่ที่สิ่งอื่น ถ้ารูปขันธ์ปรากฏ เราอยู่ที่เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ถ้าสัญญาขันธ์ปรากฏ เราอยู่ที่รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์

        เพราะฉะนั้นปัญญาเริ่มรู้ว่าเพียงต้องการนิดเดียว พยายามนิดเดียว ปัญญารู้ว่าผิดทาง เพราะฉะนั้นปัญญานำไป ในการที่จะรู้หนทางถูกคืออย่างไร เพราะฉะนั้นเป็นผู้ที่มีปกติ และก็ต้องละ และก็ต้องรู้ว่าเข้าใจอย่างเดียว มิฉะนั้นแล้วก็โลภะเข้ามา ความไม่รู้เข้ามา สารพัดที่สะสมมาในสังสารวัฎที่จะกั้น เพราะว่าเป็นโอกาสของเขาตลอด ปัญญาระดับนั้นไม่มีทางไปกั้นอะไรเขาได้ ไม่มีทางที่จะไปทำให้เขาหมดการที่จะแทรกเข้ามา โดยวิธีต่างๆ ซึ่งถ้าไม่ใช่ปัญญาแล้ว รู้ไม่ได้


    หมายเลข 11556
    24 ก.พ. 2567