ผูกพันเพราะไม่รู้สิ่งที่ปรากฏ *


    ท่านอาจารย์ ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ อุปติสสะมานพ กับสหายโกลิตะมานพ ไม่ได้ฟังธรรมก่อนไปดูมหรสพ แค่เห็น การสะสมมาทำให้การคิดต่างกัน ใครอาจจะคิดอย่างนี้ก็ได้ ก็แสดงถึงการสะสมมาพอสมควร แต่ว่าปัญญาจะมากน้อยแค่ไหนต่างกัน คนเล่นก็ตาย คนดูก็ตาย แล้วเราก็มีญาติพี่น้อง วงศาคณาญาติ ผูกพันกับลูกหลาน เพื่อนฝูง มิตรสหาย แต่ตายหมดเลย แล้วเกิดใหม่ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

    เพราะฉะนั้นระหว่างนี้ อะไรที่สะสม ความผูกพัน ความติดข้อง หารู้ไม่ว่า ไม่มีคนที่เราผูกพัน แต่ความผูกพันเกิดแล้วในใจ ซึ่งจะผูกต่อไปอีกทุกชาติ ไม่ว่าจะภพอะไร ใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งซึ่งต้องรู้ความจริง จริงๆ แล้วในบุคคลซึ่งเป็นที่รัก เพราะโลภะสะสมมา ที่จะติดข้อง ไม่ใช่เฉพาะคนนี้ ชาติก่อนคนไหนก็ไม่รู้เยอะแยะ ชาตินี้ก็ลูกหลาน เพื่อนเยอะแยะ ชาติหน้าใหม่ละ ก็ยังติดข้องอยู่อย่างมากมาย เพราะฉะนั้นไม่มีวันพ้น ถ้าไม่รู้ความจริง แต่ถ้าค่อยๆ รู้ความจริงว่า ความติดข้องมี แต่สิ่งที่ถูกติดข้อง จริงๆ แล้วหามีไม่ หรือแม้แต่ความติดข้อง ที่ว่ามีก็ดับ แต่สะสมสืบต่อ ในขณะที่สิ่งที่ปรากฏ ไม่ได้ติดตามไปเลย

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ความไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏ เป็นปัจจัยให้ความติดข้องมากมาย ในสิ่งที่ไม่มี เพราะเหตุว่าเพียงปรากฏว่ามี แล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ สิ่งนั้นไม่มี แต่ก็เป็นที่ตั้งของความติดข้อง ด้วยความไม่รู้ เพราะเข้าใจผิดว่ายังอยู่ ยังมี

    อ.คำปั่น นี่คือความจริง เป็นความจริง เพราะว่าเป็นการแสดงถึงความเป็นจริงของธรรม ความติดข้องต้องการ เกิดกับจิต เกิดกับจิตใช่ไหม เกิดแล้วก็สะสมสืบต่อไป บุคคลที่เราติดข้อง ในภพนี้ ชาตินี้ ไม่ตามไปในภพหน้า แต่โลภะที่สะสมอยู่ไม่สูญหาย ยังสะสมสืบต่อ แล้วก็จะต้องมีต่อไปตามเหตุตามปัจจัย ชีวิตของแต่ละคน แต่ละท่าน เกิดมานับชาติไม่ถ้วน เคยเป็นผู้เกี่ยวข้องกัน ไม่ฐานะหนึ่งก็ฐานะใด มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์

    ก็เคยได้ฟังใช่ไหม ในพระสูตร สูตรหนึ่งที่อุบาสกท่านหนึ่ง ที่พ่อท่านเสียชีวิต ท่านก็โศกเศร้าเสียใจมาก เวลาพบใครก็ถามเลยว่า เห็นบิดาของข้าพเจ้าไหม ถามตลอดด้วยความโศกเศร้า ด้วยความที่ไม่อยากจะพลัดพราก จากบุคคลผู้เป็นที่รัก จนกระทั่งได้มีโอกาส ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ถามคำถามเดิมก็คือ พระองค์ทรงเห็นบิดาของข้าพระองค์ไหม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถามให้คิดเลยว่า เธอจะถามถึงบิดาในภพนี้ หรือบิดาในชาติก่อนๆ เพียงแค่นี้ อุบาสกได้ฟัง รู้เลยว่าเราเกิดมาไม่ได้มีเฉพาะในชาตินี้เท่านั้น ในสังสารวัฏฏ์เกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน จิตใจของท่านก็อ่อนควร พร้อมที่จะรองรับพระธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง ในที่สุดท่านก็ได้บรรลุธรรม ถึงความเป็นพระโสดาบัน

    ท่านอาจารย์ รักหนอนตัวไหนบ้าง เคยเป็นที่รักในชาติก่อนก็ได้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ก็จะค่อยๆ เข้าใจว่า ไม่มีอะไรเลย ถ้าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น แต่ห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้ เพราะเป็นอนัตตา ห้ามดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ ห้ามธาตุรู้ไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ ห้ามความติดข้องไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ เพราะมีเหตุปัจจัย คือ ไม่รู้ความจริง ก็ยึดถือสิ่งนั้นว่าเป็นเรา หรือเป็นของเรา จนกว่าปัญญาสามารถจะเข้าใจจริงๆ ว่าไม่มีเรา

    อ.คำปั่น พอดีได้ฟังการสนทนาพิเศษเมื่อวาน ประโยคสุดท้ายเลย ที่ท่านอาจารย์ได้สนทนาเมื่อวาน ว่าถ้าเข้าใจจริงๆ ก็จะรู้ว่า ไม่มีอะไรเลย นอกจากสิ่งที่เกิดแล้วก็ดับไปไม่เหลือ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ได้ฟังประโยคนี้ ก็ยังมั่นคงว่าเป็นเรา แต่แม้ประโยคนี้เป็นความจริง กว่าจะถึงการที่จะสามารถมั่นคง จนกระทั่งปัญญาเจริญขึ้น จนกระทั่งประจักษ์แจ้ง ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นความจริง ด้วยตนเอง

    อ.วิชัย เป็นสิ่งที่ฟังแล้วเข้าใจยาก ว่าขณะนี้กำลังเห็นอยู่อย่างนี้ จะไม่มี ไม่มี คือ เข้าใจว่า หมดไปอยู่ทุกๆ ขณะ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่หมดไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสอย่างนี้ไหม ว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นแหละ ไม่ใช่สิ่งอื่น สิ่งนั้นแหละดับไปเป็นธรรมดา เห็นเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เห็นนั้นแหละดับไป แล้วมีไหม เห็น เกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป ได้ยินเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วมีไหม มีเมื่อเกิด แล้วก็ดับ จะมีอีกต่อไปไม่ได้เลย ไม่มีอะไรกลับมาได้เลย

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์กล่าวถึงความผูกพัน ความผูกพันในบุคคลต่างๆ อะไรอย่างนี้ ซึ่งเมื่อมีการพลัดพราก หรือมีความผิดหวัง จากบุคคลที่ผูกพันไม่ว่าจะโดยการพลัดพรากในรูปแบบใด จะตายจากกัน หรือว่าจะไม่ได้ถึงกับตายก็แล้วแต่ คนทั่วไปก็จะปลอบใจกันว่า อย่าไปผูกพันเลย ก็เป็นธรรมดา ก็ต้องมีการพลัดพรากอย่างนี้เป็นธรรมดา หรือว่าเดี๋ยวเราก็พบบุคคลใหม่ต่อไป ที่เราจะอาจจะชอบมากกว่านี้ หรือว่าเราก็ไม่ต้องไปคิดมาก ส่วนใหญ่ก็จะปลอบใจกันอย่างนี้ แต่ท่านอาจารย์กล่าวว่าผูกพัน เพราะไม่รู้สิ่งที่ปรากฏ การที่จะเกื้อกูลกัน เพื่อให้คลายจากความผูกพัน ต่างกันจริงๆ

    ท่านอาจารย์ คำเหล่านั้นคนที่ฟังแล้วรู้สึกอย่างไร อย่างที่คุณอรรณพกล่าว ก็แค่ฟัง แค่ฟังจริงๆ ไม่สามารถที่จะหมดความผูกพัน ไม่สามารถที่จะไม่เสียใจ โทมนัสได้ ใช่ไหม แต่ถ้ารู้ว่านั่นเป็นธรรมดา คือ เป็นธรรมไม่ใช่เรา ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ ไม่มีทางที่จะหมด ไม่ว่าคำใดๆ ทั้งสิ้น ก็เพียงแค่ได้ยินแล้วก็ร้องไห้ต่อไป แต่ว่าถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ความเข้าใจนั้น สามารถที่จะค่อยๆ รู้ว่า เสียเวลาไหม

    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงเห็นประโยชน์ของความโทมนัสใดๆ เลยทั้งสิ้น แทนที่จะมีปัญญา เข้าใจถูกต้อง กับมาเสียเวลาร้องไห้ ร้องไปได้ประโยชน์อะไร อกุศลทั้งหลายมีประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้นคำจริงต่างหาก ที่จะทำให้เห็นค่าของปัญญา ที่สามารถจะรู้ว่า สิ่งที่ควร สิ่งที่ถูกต้องนั่นคืออย่างไร เพราะฉะนั้นก่อนที่จะฟังธรรม ร้องไห้กันเป็นประจำ เมื่อสูญเสีย ไม่ว่ามารดาบิดา เพื่อนฝูง แต่พอมีความเข้าใจธรรมแล้ว ไม่มีประโยชน์เลย ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แทนร้องไห้ ทันทีได้เลย เพราะว่าอะไร เขาเกิดแล้ว เป็นใคร หนอน หรือนก หรือจิ้งจกตุ๊กแก ใครจะรู้ แต่ว่าการที่บุคคลนั้นเคยเกิด และเคยทำความดี เคยเกี่ยวข้องเป็นผู้มีคุณก็ตาม เป็นผู้ที่อุปการะก็ตาม ก็ทำให้เรารู้ว่า นั่นคือคุณความดีที่บุคคลนั้นได้สะสมไป

    เพราะฉะนั้นสำหรับทุกคน ไม่มีอะไรที่จะดีประเสริฐเท่ากับคุณความดี เพราะฉะนั้นก็เตือนแล้ว คนที่จากไปเป็นใครก็ตามแต่ แต่ที่เป็น มาจากชาตินี้ และชาติก่อนๆ ที่สะสมมา เหมือนเราทุกคนที่อยู่ตรงนี้ มาจากไหน ก็มาจากแต่ละชาติที่สะสมจนถึงชาตินี้ และชาตินี้ทั้งชาติ ก็สะสมที่จะปรุงแต่ง สำหรับคนที่จะเกิดต่อจากชาตินี้ เพราะฉะนั้นก็เป็นการเตือนให้รู้ว่า ความดี ดีกว่าอย่างอื่น

    อ.อรรณพ การที่จะเหมือนเตือนกัน หรือปลอบโยน หรืออะไรก็แล้วแต่ ก็เป็นไปตาม การสะสมของทั้งผู้ที่จะปลอบใจ แล้วก็ทั้งผู้ที่กำลังเศร้าโศกจากการพลัดพรากจากสิ่งที่ผูกพัน อย่างเช่น ในชาดกที่ฟังอยู่เสมอๆ ที่พระเจ้าอัสสกะ ซึ่งท่านมีความผูกพันกับพระนางอุพพรีมาก ซึ่งเมื่อพระนางอุพพรีได้ไปเกิดเป็นหนอน พระโพธิสัตว์ พระดาบส ท่านก็ได้แสดงให้เห็นว่า หนอนนั้นไม่ได้ผูกพันกับพระเจ้าอัสสกะอีกต่อไปแล้ว แต่ก็ไปอยู่ในภพภูมิใหม่ ซึ่งเป็นหนอน ก็ไปผูกพันกับหนอนด้วยกัน ก็ทำให้พระเจ้าอัสสกะ เหมือนท่านได้คิดแล้วก็คลายจากความผูกพันในบุคคล คือ พระนางอุพพรีซึ่งไปเป็นหนอนแล้ว แต่เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงถึง เพราะความไม่รู้ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ จึงยึดติดผูกพัน

    เพราะฉะนั้นการที่จะคลายจากสิ่งที่ผูกพัน คนส่วนใหญ่ชอบคำปลอบประโลม ที่จะทำให้เหมือนกับได้คลายไปว่า อย่าไปโศกเศร้าเลย เดี๋ยวเราก็ไปเที่ยวเตร่หรือว่า เดี๋ยวแล้วก็มีสัตว์ บุคคลใหม่ มาให้เราติดข้อง แล้วอย่างไรก็เป็นธรรมดา ก็เหมือนกับเตือนอย่างนี้ แต่ว่าพระธรรมเตือน ยากที่คนจะสนใจในคำเตือนที่ตรงที่สุด ว่าผูกพันเพราะไม่รู้สิ่งที่ปรากฏ จากที่พระโพธิสัตว์ ท่านเตือนให้คิดอย่างนั้น ในสมัยที่ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ก็เหมือนกับจะช่วยได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นพูดกับใครๆ

    อ.อรรณพ พูดกับพระเจ้าอัสสกะ

    ท่านอาจารย์ มีความเข้าใจระดับไหน

    อ.อรรณพ ท่านก็ต้องสะสมมา

    ท่านอาจารย์ ก็ต้องตามที่คนนั้นสามารถเข้าใจได้ ไม่ใช่ว่าเขาร้องไห้ แล้วเขาก็ไม่รู้ธรรมเลย ก็ไปบอกเขาว่า ไม่ใช่เรานะ เป็นจิต เจตสิก แล้วจะมีประโยชน์อะไร

    อ.อรรณพ ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจึงมีธรรม โดยนัยของพระสูตร กล่าวถึงธรรมโดยประการที่ค่อยๆ ทำให้คนได้ค่อยๆ เข้าใจความจริงตามลำดับขั้น เพราะฉะนั้นจึงมีทั้งพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม แต่ทั้งหมดไม่พ้นจากธรรม แล้วผู้ที่ไม่เข้าใจธรรม อ่านพระสูตรคิดว่าเป็นเรื่องราว เป็นตัวตน มีสัตว์ มีบุคคลที่จะต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่นั่นไม่ได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะถ้ามีความเข้าใจธรรมแล้ว ทั้งหมดเป็นธรรม แต่ว่าผู้ฟังเป็นใคร

    เพราะฉะนั้นการที่จะเป็นมิตรที่ดี เพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่เราได้มีโอกาสพบกัน สิ่งที่ให้ที่ประเสริฐสุด คือ ความเข้าใจที่ถูกต้องตามสมควร ที่เขาสามารถจะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้นเราก็จะไม่ไปบอกให้เขาเลิกโกรธ เลิกติดข้อง เพราะว่าทำไม่ได้ ใช่ไหม แต่อย่างพระสูตรทรงแสดงโดยนัยประการต่างๆ ให้ค่อยๆ เข้าใจความจริงทีละน้อย ว่าตายแล้วไปไหน หนอนจะผูกพันกับหนอนไหม ก็ค่อยๆ ได้คิด ใช่ไหม เพราะว่าปรากฏตามความเป็นจริง ให้เห็นกับตา

    อ.วิชัย ก็มีชาดกเรื่องหนึ่ง ก็คือ ธังกชาดกจะกล่าวเฉพาะกถา ซึ่งก็เป็นเรื่องของพระโพธิสัตว์ ซึ่งก็ถูกพระราชาได้คุมขังเอาไว้ ซึ่งพระราชาที่มาคุมขังพระโพธิสัตว์ ก็เกิดความเร่าร้อนในภายหลัง ก็ได้ไปถามพระโพธิสัตว์ ที่ถูกจองจำอยู่ ซึ่งพระราชาท่านนั้นก็ถามว่า "ชนเหล่าอื่นเศร้าโศกอยู่ ร้องไห้อยู่ ชนเหล่าอื่นมีหน้าชุ่มไปด้วยน้ำตา พระองค์เป็นผู้มีผิวพระพักตร์ผ่องใส ดูกรฆฏราชา เพราะเหตุไรพระองค์จึงไม่เศร้าโศก" พระโพธิสัตว์ก็ตอบว่า "ความเศร้าโศกหาได้นำสิ่งที่ล่วงไปแล้ว มาได้ไม่ หาได้นำความสุขในอนาคตมาได้ไม่ ดูกร ธังกราชา เพราะฉะนั้นหม่อมฉันจึงไม่เศร้าโศก ความเป็นสหายในความเศร้าโศก ย่อมไม่มี" นี่ก็เห็นถึงผู้ที่มีปัญญา ที่พิจารณาแม้แต่ในสมัยที่พระองค์บำเพ็ญบารมี ก็รู้ว่าความเศร้าโศกไม่ได้นำประโยชน์อะไรมาให้เลย

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็จะต้องมีปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจในความจริงทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ว่าขณะนั้นเป็นธรรม ไม่ใช่ว่าตรงไปถึง ก็สามารถที่จะรู้ว่าเป็นธรรมได้เลย แต่กว่าจะรู้อย่างนั้น ก็ต้องเข้าใจในความเป็นจริง ทีละเล็กทีละน้อย

    อ.คำปั่น และความเข้าใจสิ่งที่มีจริง ทีละเล็กทีละน้อย จะมาจากไหน ใช่ไหม ก็มาจากการได้เริ่มสะสมความเข้าใจ ในความเป็นจริงของธรรม ทีละเล็กทีละน้อย จากคำแต่ละคำ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง คำทุกคำที่พระองค์ตรัส อุปการะเกื้อกูลให้ความเข้าใจถูก เห็นถูก เจริญขึ้นจริงๆ


    หมายเลข 11575
    18 ต.ค. 2567