เห็นพระปัญญาคุณก็ระลึกถึงพระคุณได้
เพียงแค่ได้ยิน จิต เจตสิกเป็นสภาพธรรม และจิตไม่ใช่เจตสิก แต่เมื่อไหร่ที่จิตเกิดขึ้นต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เห็นพระคุณไหม ถ้าจะเห็นพระคุณเห็นได้เลย ใครจะแสดงเรื่องของจิตว่าเป็นนามธรรมเป็นธาตุรู้ซึ่งมีปัจจัยเกิด และก็ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมกัน เจตสิกเป็นปัจจัยให้เกิดจิตหรือเปล่า เป็น จิตเป็นปัจจัยให้เจตสิกเกิดหรือเปล่า ต่างอาศัยกัน และกันเกิดขึ้นพร้อมกันด้วย แยกกันไม่ได้ โดยศัพท์ภาษาบาลีก็ใช้คำว่า “สัมปยุตตปัจจัย” ไม่แยกกันเลย ขณะใดที่จิตใดเกิด และมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย เจตสิกนั้นเกิดกับจิต และก็ดับพร้อมจิตขณะนั้น และก็รู้อารมณ์เดียวกับจิต และในภูมิที่มีขันธ์ ๕ จิตต้องเกิดที่รูปหนึ่งรูปใด ทั้งจิต และเจตสิกก็เกิดดับที่รูปนั้นด้วย นี่คือการเข้าใจธรรมซึ่งมีจริงๆ ระลึกถึงพระคุณไหม นี่ค่ะไม่เคยได้ยิน ไม่เคยเข้าใจ แม้ในขั้นฟังเรื่องของจิต และเจตสิก เพียงสองคำนี้สามารถที่จะเห็นพระกรุณาคุณได้ และเห็นพระปัญญาคุณด้วยว่าใครสามารถที่จะแทงตลอด รู้ความจริงของสภาพธรรมซึ่งเกิดดับอย่างเร็วมาก เพียงแค่ขณะที่เห็น ใครจะรู้ว่ามีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ประเภท และเวลาที่อกุศลจิตเกิดก็มีอกุศลเจตสิกเกิดร่วมกับ ๗ ประเภทนั้นด้วย และถ้ามีโสภณจิตที่ดีงามก็ยิ่งมีเจตสิกที่มากกว่านั้นอีกเกิดร่วมด้วยตามประเภทของจิตนั้นๆ ถ้าได้ฟังแล้วเข้าใจอย่างนี้ เห็นพระปัญญาคุณ และก็ระลึกถึงพระคุณได้
ที่มา ...