คำจริงทั้งหมดเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า *
จากการสนทนาธรรม
ที่ โรงแรม รามาด้า (RAMADA) พาราณสี ประเทศอินเดีย
วันอังคารที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๖๒
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ หนูมีเรื่องจะถามอาจารย์อีกเรื่องหนึ่ง นอกจากจะหลงผิด เดินทางผิด เป็นผู้มีมิจฉาทิฏฐิ หลงผิดด้วยตัวเองไม่พอ ด้วยอาชีพของการเป็นครู ยังพาเด็กหลงผิดด้วย เพราะว่าหนูเป็นครู รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องของงานจริยธรรมในโรงเรียน แล้วก็พาเด็กไปเข้าวัด ทำสมาธิ แล้วเด็กเขาก็ตามประสาเขา เขาก็ไม่อยากนั่ง เขาก็เล่นบ้าง อะไรบ้าง คนไหนที่ไม่ปฏิบัติตาม ดื้อ พระท่านที่เป็นวิทยากรก็จะจับมานั่งสมาธิ เป็นการลงโทษ เป็นอย่างนี้หลายปีมาแล้ว จนเกษียณอายุราชการมา หลงผิดไปก็คงจะทำให้เด็กๆ มีทิฏฐิไม่ค่อยจะดี กับเรื่องของพุทธศาสนามาก เพราะบังคับให้เขาทำ แล้วเขาก็จะไม่เห็นประโยชน์อะไรเลย หนูก็ผิดพลาดไปแล้ว แล้วหนูจะตกนรกไหม
ท่านอาจารย์ ถ้าหากเป็นอกุศลกรรม ได้กระทำสำเร็จ ก็จะเกิดในอบายภูมิ แต่ว่าในสังสารวัฏฏ์นี้ ทุกคนก็มีทั้งกุศลกรรม และอกุศลกรรม ทำไมถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ เห็นไหม กรรมทำไว้เยอะแยะมาก แต่กุศลกรรมหนึ่ง ก็ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ และยังเป็นมนุษย์ที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมด้วย นี่ก็เป็นสิ่งที่ได้สะสมมา มิฉะนั้นก็จะไม่มีโอกาสเห็นประโยชน์ หรือเห็นคุณค่าของการฟังเลย
เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่ล่วงไปแล้ว ไม่สามารถจะแก้ไขได้ แต่ต่อไปนี้ก็จะทำสิ่งที่ถูกต้อง เพราะรู้ว่าสิ่งใดผิดก็ไม่ทำ นั่นคือปัญญา เมื่อมีปัญญาเห็นถูก จะไม่ทำสิ่งที่ผิด ปัญญาจะนำไปในกิจทั้งปวงที่เป็นกุศล ที่สำคัญที่สุด ทำไมคิดถึงแต่ชาตินี้ชาติเดียว ชาติหน้าอาจจะมาถึงเร็วมากไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้นเวลาที่ยังมีอยู่ ซึ่งเราไม่รู้ว่าจะมากน้อยเท่าไร ก็ควรจะเป็นเวลาที่มีค่า ที่ได้ความเข้าใจจากพระธรรม เพราะสามารถที่จะทำให้เกิดเป็นมนุษย์ หรือเป็นเทวดาก็แล้วแต่ แต่ก็มีโอกาสได้ฟังพระธรรมต่อไป
เพราะสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต ในสังสารวัฏฏ์ ก็คือ การเข้าใจความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ เพราะฉะนั้นทุกคำที่ทุกคนได้ยินมา น่าอัศจรรย์ ซึ่งคนพูดไม่ได้เป็นผู้ที่รู้สิ่งนั้นด้วยตนเอง แต่ได้ฟังจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ไตร่ตรอง จึงมีสาวก คือ ผู้ฟัง เป็นพหูสูต พหุสุตตะ เป็นผู้ที่ได้ฟังมาก เข้าใจมาก รอบรู้ในพระธรรม
เพราะฉะนั้นก็จะไม่นำไปสู่ทางผิด เช่น การปฏิบัติต่างๆ สำนักต่างๆ ซึ่งไม่ได้ทำให้มีความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น และก็เป็นการทำลายพระพุทธศาสนาด้วย เพราะเหตุว่าสิ่งใดที่ไม่จริง สิ่งนั้นทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่ให้ฟังคนอื่นเลย ได้อย่างไร ในเมื่อพระรัตนตรัย ๓ ไม่ใช่ ๑ ไม่ใช่ ๒ แต่ ๓ เมื่อมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นรัตนะ ก็มีพระธรรมที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้วเป็นรัตนะ และก็มีผู้ที่ประพฤติตามพระองค์ จนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นรัตนะ เป็นอริยบุคคล จึงเป็นรัตนตรัย
เพราะฉะนั้นใครที่กล่าวผิดจากนี้ ก็คือ ผู้ที่ทำลายพระพุทธศาสนา เพราะคนอื่นหลงผิด เข้าใจผิด ในเมื่อสิ่งใดก็ตาม ซึ่งเป็นความจริง รู้ได้ด้วยตนเองเพียงคนเดียวหรือ ถ้ารู้ได้เฉพาะพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็ไม่ทรงแสดงพระธรรม แต่ทรงรู้ว่า คนที่ได้ฟังสามารถที่จะรู้ตามได้ เมื่อสะสมความเข้าใจถูกต้อง เมื่อถึงเวลาก็จะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรม ตรงตามที่ได้ฟัง
ด้วยเหตุนี้คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงมี ๓ ระดับ ปริยัติ ฟัง รอบรู้ ถ้าไม่มีการเข้าใจจริงๆ ว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่สามารถที่จะเป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิด โดยปัจจัยที่ได้สะสมมา ไม่ใช่โดยอยากให้เกิด หรือโดยไปเลือกสิ่งนั้นสิ่งนี้ เพื่อที่จะให้ปัญญาเกิด เช่น จะไปเลือกทำ หรือดูอานาปานะ คือ ลมหายใจ แล้วจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม เป็นไปไม่ได้เลย นั่นคือความเป็นตัวตน ไม่ใช่ความเป็นอนัตตาว่า ทุกอย่างเกิดเมื่อมีปัจจัยที่สมควร
ท่านพระสารีบุตร สะสมบารมีมาเท่าไร ต่อเมื่อได้พบท่านพระอัสสชิ ได้ฟังแล้ว ยับยั้งไม่ได้ ที่จะให้มีความเข้าใจ จนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจธรรม แต่ก่อนนั้นไม่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ แม้เป็นปัญญา ก็ต้องถึงเวลา ที่เป็นปัจจัย ที่จะให้ความรู้ระดับไหนเกิดขึ้น เมื่อมีปริยัติ ถ้าไม่มีปริยัติเลย ไม่มีการฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย จะไม่มีปฏิปัตติ จะเอาปัจจัยที่ไหนมาทำให้สติสัมปชัญญะเกิด แล้วเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ โดยความเป็นอนัตตา ใครเลือกอารมณ์ให้สติได้ไหม ใครเลือกให้สติเกิดขณะนั้น ขณะนี้ ได้ไหม ถ้าคิดว่าได้ นั่นคืออัตตา แต่ถ้ารู้ตามความเป็นจริงว่า สติสัมปชัญญะ และธรรมทั้งหมดเป็นอนัตตา จะเกิดเมื่อมีปัจจัย พร้อมเมื่อไรจึงเกิด โดยความเป็นอนัตตา
ท่านพระสารีบุตรไม่ได้คิดเลย ว่าท่านจะเป็นพระโสดาบัน เมื่อได้ฟังคำของท่านพระอัสสชิ แต่ใครจะยับยั้งปัจจัยที่ได้สะสมมา ที่ถึงพร้อมที่จะให้รู้แจ้งอริยสัจธรรมในขณะที่ฟังได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องของอนัตตา ไม่ใช่ตัวเราจะบังคับบัญชา หรือจะเลือกหรือจะทำ แต่เป็นการสะสมความเข้าใจถูกต้อง ในความเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่เรา ซึ่งเป็นอนัตตา
ด้วยเหตุนี้ พระธรรมที่ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา หนทางนี้เป็นสายกลาง เพราะธรรมทั้งหลายเป็นธรรม เป็นอนัตตา ไม่สามารถที่จะบันดาลหรือบังคับให้เกิดขึ้นตามใจชอบ แต่ต้องโดยความเป็นเหตุ เป็นปัจจัยที่เหมาะสม
อย่างการฟังวันนี้ ก็จะไม่รู้เลย ว่าจะเป็นเหตุให้วันหนึ่ง สามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมได้ เมื่อตรงตามความเป็นจริง แล้วถ้าชาตินี้เห็นผิด ชาติต่อไปก็เห็นผิด แต่ถ้าชาตินี้สะสมความเห็นที่ถูกต้องเป็นปัจจัย พอได้ยินได้ฟังคำที่ถูกต้อง ก็สามารถเข้าใจถูกได้ เพราะคำจริงทั้งหมด เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าใครจะกล่าว ถ้าเป็นคำที่ถูก ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีสาวก ไม่อย่างนั้นก็ไม่ใช่พระรัตนตรัยที่เป็น ๓