ไม่มีเรา แต่เป็นลักษณะของสภาพธรรมทั้งหมดอย่างไร


    การฟังธรรมไม่ใช่ให้ไปฟังแล้วไปเตรียมแผนการ เป็นผู้จัดการไม่เรื่องนั้นก็เรื่องนี้ คือผู้จัดการที่จะให้สติสัมปชัญญะหรือสติปัฏฐานเกิด ไม่ใช่เลย ฟังเพื่อละความเป็นเรา ฟังเพื่อให้เข้าใจถูกว่าเป็นธรรม แม้แต่คำว่า “โยนิโสมนสิการ” ถ้าฟังดีๆ โยนิโสมนสิการเป็นคนชื่อนั้นชื่อนี้หรือเปล่า เป็นใครหรือเปล่า ใช้คำว่า “มนสิการ” หมายความถึงธรรมที่เป็นมนสิการ เวลาที่ตั้งตนไว้ชอบ มีใครเป็นตัวตนตั้งหรือเปล่า หรือว่าความเข้าใจธรรมนั่นเอง ทำให้เกิดสติที่จะประพฤติปฏิบัติในทางที่เป็นกุศล ในทางที่เข้าใจถูกต้องยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจธรรมจริงๆ พระไตรปิฎกทั้ง ๓ ปิฎกไม่มีเรา แต่ว่าเป็นลักษณะของสภาพธรรมทั้งหมด แม้พระวินัยเกิดโลภะขึ้นเป็นใครชื่ออะไรหรือเปล่า และการเคลื่อนไหวด้วยกำลังของโลภะเป็นใครหรือเปล่า หรือว่าเป็นรูปที่เคลื่อนไหวไปเพราะจิตที่ต้องการ เกิดหิริโอตตัปปะ ใช้คำว่า “หิริโอตตัปปะ” เป็นใครหรือเปล่า คือที่เต็มไปด้วยใช้คำที่เป็นธรรมทั้งหมด แต่คนฟังตัวตนก็เป็นเราทั้งหมดอีกเหมือนกัน เพราะฉะนั้นถ้าฟังธรรม มีความเข้าใจจริงๆ จะไม่มีความสงสัยเลย ขณะใดที่กุศลจิตเกิด สภาพธรรมเกิดแล้วทำหน้าที่ของสภาพธรรมทั้งหมด แม้มนสิการเจตสิกก็เป็นโยนิโสมนสิการ ไม่ต้องมีใครไปทำอะไรเลย วิริยะมีไหม ในขณะที่กุศลจิตเกิด มี ทำหน้าที่ของวิริยะแล้ว เป็นไปในการกระทำกรรมที่เป็นกุศลในขณะนั้น มีเราที่ต้องไปทำอะไรอีกหรือเปล่า เพราะฉะนั้นฟังธรรมเพื่อให้เข้าใจจริงๆ เป็นธรรมทั้งหมดละความไม่รู้ และก็ละความคิดเตรียมว่าจะต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ก่อน แม้แต่เหตุที่ทรงแสดงว่าการที่จะบรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลก็ทรงแสดงตามความเป็นจริง ไม่ใช่มีเราที่จะต้องไปทำอะไร แต่ความจริงเป็นอย่างนั้น ก็ให้เข้าใจถูกต้องว่าเหตุที่จะให้เป็นอย่างนั้นได้แก่อะไรบ้าง แต่ไม่ใช่มีเราที่จะไปทำ แต่เป็นความเข้าใจถูกว่าถ้าปราศจากเหตุหนึ่งเหตุใด ความสมบูรณ์ที่จะบรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลก็มีไม่ได้


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 238


    หมายเลข 11638
    28 ส.ค. 2567