อนุสาสนีปาฏิหาริย์
ฟังให้เข้าใจเสียก่อน อันนี้สำคัญมาก นี่เป็นเหตุที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา แล้ววันหนึ่งๆ ไม่น้อยเลย ไม่เคยสั่งให้ใครไปนั่งเฉยๆ เลย แต่ว่าเสด็จไปโปรดคนที่รู้ว่า เขาสามารถที่จะรับฟัง แล้วแม้ว่าจะยังไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมในชาตินั้น แต่ถ้าฟังต่อไป เขาก็สะสมเป็นอุปนิสัยปัจจัยไป ก็ทรงพระมหากรุณาเสด็จไปแสดงธรรมหรือสนทนาธรรมด้วย นี่ก่อนบิณฑบาต
หลังจากทำภัตกิจเสร็จแล้ว ทรงพักผ่อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง แล้วก็แสดงธรรมกับพระภิกษุ และตอนเย็นก็ทรงแสดงธรรมแก่อุบาสกอุบาสิกา พอตอนค่ำพระภิกษุก็ไปถามปัญหา พอตอนดึกเทวดาก็ไปถามปัญหา แล้วก็ทรงบรรทมเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเองตลอด ๔๕ พรรษา เพื่อที่จะให้ผู้ฟังเกิดปัญญา
เพราะฉะนั้นเราขณะนี้ก็กำลังฟังพระธรรม จากการที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน ก็เริ่มฟังไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเข้าใจขึ้น เป็นการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวันด้วย เพราะว่าธรรมสำหรับปฏิบัติในชีวิตประจำวันนี่เอง ไม่ใช่ว่าต้องไปสู่มุมหนึ่งมุมใด แต่เป็นการรู้ของจริงๆ ที่มีจริงๆ โดยการฟังเสียก่อนให้เข้าใจ อย่าเพิ่งปฏิบัติใดๆ ทั้งสิ้น
ปาฏิหาริย์มี ๓ อย่าง คือ อาเทสนาปาฏิหาริย์ อิทธปาฏิหาริย์ และอนุสาสนีปาฏิหาริย์
อิทธิปาฏิหาริย์ คือ การที่สามารถจะเหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ต้องเป็นของจริง ไม่ใช่ของปลอม ทำในเวลาคนไม่เห็น แล้วก็มีข้าวทิพย์ใส่ในบาตรอะไรอย่างนั้น ไม่ใช่ค่ะ เพราะฉะนั้นเหตุทุกอย่างต้องสมควรแก่ผล ผลที่จะทำอย่างนั้นได้จริงๆ จิตใจจะต้องประกอบด้วยสติสัมปชัญญะอย่างที่ได้เรียนให้ทราบแล้วว่า ถ้าขณะนี้ไม่รู้ลักษณะของกุศลจิต และอกุศลจิต ซึ่งเกิดสลับกันแล้วละก็ไม่ถึงฌานจิต และการที่จะได้อิทธิปาฏิหาริย์ไม่ใช่เพียงปฐมฌาน ซึ่งก่อนจะถึงปฐมฌาน ก็จะต้องมีสมาธิเป็นลำดับขั้นที่จิตเป็นกุศล แล้วสงบขึ้น เพราะฉะนั้นก็ผ่านไปได้เลยเรื่องของการที่จะทำให้จิตสงบจนกระทั่งฌานจิตเกิด จนกระทั่งกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ ได้ เพราะเหตุว่าแม้ผู้ที่กระทำอิทธิปาฏิหาริย์ก็ต้องตาย แล้วก็ต้องเกิด แล้วจะมีประโยชน์อะไรกับการหลงทำอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ ซึ่งไม่มีทางที่จะรู้จักสภาพธรรมจนกระทั่งดับกิเลสหรือดับทุกข์ได้
กิเลสอยู่ที่จิต ขณะนี้มีกิเลสประเภทไหน ถ้าคนนั้นยังไม่รู้ตามความเป็นจริงก็ดับกิเลสไม่ได้ เหมือนอย่างจะดับไฟ ยังไม่รู้เลยว่าไฟอยู่ที่ไหน แต่จะดับไฟ แล้วจะดับไฟได้ไหม ฉันใด ขณะนี้จิตกำลังมีกิเลสประเภทไหนบ้าง ขณะไหนบ้าง ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิด ไม่มีทางที่จะดับได้เลย เพราะฉะนั้นอิทธิปาฏิหาริย์ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะเหตุว่าผู้ที่จะทำอิทธิปาฏิหาริย์ก็ต้องตายโดยมีกิเลส เมื่อปัญญาไม่เกิด
สำหรับ อาเทสนาปาฏิหาริย์ ก็คือการที่สามารถที่จะดักใจ หรือรู้จิตของคนอื่น ซึ่งแม้ยังไม่ใช่อิทธิปาฏิหาริย์ ทุกคนก็พอจะเดาๆ ใจกันได้บ้าง ถ้าเป็นผู้ที่คุ้นเคย เพราะฉะนั้นถ้ามีปาฏิหาริย์ขั้นนั้น ก็ต้องเป็นการอบรมเจริญสมถภาวนาที่ต้องรู้ลักษณะของจิตขณะนี้เองเช่นเดียวกัน คือ สติสัมปชัญญะต้องบริบูรณ์ และปัญญาต้องมีกำลังพอที่จะระลึกรู้ลักษณะของจิตได้ จึงจะบรรลุถึงฌาน แล้วก็น้อมฌานจิตนั้นไปทำการฝึกหัด เป็นหูทิพย์บ้าง เป็นตาทิพย์บ้าง เป็นเหาะเหินเดินอากาศบ้าง เดินบนน้ำบ้างเหล่านี้ ซึ่งแม้ในเรื่องของการรู้ใจของบุคคลอื่น การรู้วาระจิตจริงๆ ก็จะต้องอาศัยความชำนาญของตนเอง ในการที่สติสัมปชัญญะสามารถที่จะระลึกแม้จิตของตนเองได้อย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นจึงสามารถที่จะระลึกรู้แม้จิตของคนอื่นได้อย่างรวดเร็วด้วย ซึ่งแม้จะระลึกอย่างนี้ ถ้ากิเลสยังไม่ดับหมด ก็ไม่มีประโยชน์อะไร
เพราะฉะนั้นปาฏิหาริย์ที่ ๓ คือ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์ คือ คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสัจจธรรม เป็นความจริง ซึ่งทำให้ผู้ฟังเริ่มเกิดปัญญาที่จะรู้จักตัวเอง และรู้จักโลก รู้จักสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกตามความเป็นจริง จนกระทั่งดับกิเลสได้ เพราะฉะนั้นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ก็เป็นเลิศ ด้วยเหตุนี้ผู้ที่เป็นสาวกทุกท่านต้องฟังพระธรรม เพราะเหตุว่าตนเองไม่ได้สะสมบารมีมาที่จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระปัจเจกพุทธเจ้า