สติสัมปชัญญะ ต่างกับความทรงจำเรื่องราวต่างๆ
ท่านอาจารย์ ด้วยเหตุนี้ถ้าทำให้มีการเข้าใจจริงๆ ว่าขณะใดที่สติสัมปชัญญะกำลังรู้ลักษณะของสภาพธรรม ขณะนั้นลักษณะนั้นไม่ใช่เรื่องราวบัญญัติต่างๆ เพราะว่ามีลักษณะที่กำลังปรากฏให้รู้ว่าลักษณะนั้นมีจริงๆ นี่ก็เริ่มเห็นความต่างของบัญญัติกับปรมัตถ์ และจะรู้ว่าบัญญัติก็คือนิมิตนั่นเอง เรื่องราวต่างๆ ชื่อต่างๆ ทั้งหมดจากการที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมทรงจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แล้วยังสมมุติเรียกไปต่างๆ นาๆ อีก ชื่อยศฐาบรรดาศักดิ์ต่างๆ ก็มาจากนิมิตที่ปรากฏนั่นเอง นี่คือการเริ่มที่จะรู้ว่าขณะใดที่สติสัมปชัญญะเกิดมีลักษณะของสภาพธรรมที่ต่างกับความทรงจำเรื่องราวต่างๆ นี่คือนิมิต ถูกต้องไหม และถ้าประจักษ์การเกิดดับ ยิ่งเห็นว่าแม้นามธรรม และรูปธรรมที่มีลักษณะนั้นก็เป็นนิมิตของนามธรรม และรูปธรรมนั้นเอง เพราะเมื่อเกิดขึ้นก็มีลักษณะอย่างนั้น แต่ว่าชั่วขณะที่สั้นมากแล้วหมดไป เพราะฉะนั้นก็จะเข้าใจความหมายของนิมิตเพิ่มขึ้นอีก แล้วก็จะรู้ได้ว่าธรรมที่ไม่มีนิมิตเลยคือนิพพาน เพราะเหตุว่าไม่มีการเกิดขึ้น ไม่มีการที่จะปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานใดๆ ทั้งสิ้น กำลังมีนิมิตเป็นอารมณ์ สุข ทุกข์กับนิมิตตลอดชาติๆ แล้วชาติเล่าก็ไม่มีอะไรเหลือ
ผู้ถาม แต่ยังไงก็คงจะมีอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
สุ. จนกว่าปัญญาจะสมบูรณ์ขึ้น รู้ความจริงยิ่งขึ้น มิฉะนั้นจะไม่เห็นพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ที่สามารถที่จะทรงแสดงพระธรรมให้บุคคลที่ได้ฟังมีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูกจนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้ซึ่งกิเลสก็รู้กันแล้วตอนนี้มารวดเร็ว มาทั้งวัน มาไม่หยุด ยับยั้งไม่ได้เลย มาจากไหน ถ้าไม่รู้ความจริงก็คือว่าไม่สามารถที่จะดับได้
ที่มา ...