ถ้าไม่ใช่เพื่อละ ไม่มีทางที่จะละอะไรได้เลย
ผู้ที่เห็นโทษของอกุศลที่ละเอียดยิ่งกว่านั้นก็จะฟังธรรม รู้ว่าเพื่อละ อย่าลืม อันนี้สำคัญที่สุดเพราะว่าถ้าไม่ใช่เพื่อละ ไม่มีทางที่จะละอะไรได้เลย เพราะว่าพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ ไม่ใช่เพียงให้ยับยั้งด้วยศีลหรือว่าระงับด้วยสมาธิ แต่ให้ถึงการสามาระที่จะดับกิเลสทั้งหมดได้ไม่เกิดอีกเลยเป็นสมุจเฉทซึ่งต้องเป็นปัญญาจริงๆ ที่สามารถจะมีความเห็นถูก เข้าใจถูกในลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏซึ่งเป็นการละที่ยากมากใช่ไหม ละด้วยศีลมีคนยับยั้งได้เยอะ รักษาศีล ๕ ศีล ๘ หรือผู้ที่ในครั้งอดีตมีปัญญาที่สามารถจะให้จิตสงบในขั้นของสมาธิก็ยังมี แต่ว่าผู้ที่จะละความไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนจะยากสักแค่ไหน ในเมื่อขณะนี้แม้สภาพธรรมมีก็ยังไม่ได้รู้อะไรเลย เพราะฉะนั้นธรรมที่จะละได้เป็นปัญญาเท่านั้น อย่างอื่นไม่สามารถจะทำหน้าที่ละโลภะหรือความติดข้องได้เลย ด้วยเหตุนี้ไม่ต้องไปคิดว่าเราจะละเมื่อไหร่ แต่ว่ามีความเป็นผู้ตรงว่าวันนี้ฟังธรรม มีความเข้าใจลักษณะของธรรมที่ปรากฏเพิ่มขึ้นมั่นคงขึ้นว่าเป็นธรรมแต่ละลักษณะจนกว่าสติสัมปชัญญะจะรู้ตรงลักษณะนั้นทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งมีความเข้าใจตลอดทุกทางทั้ง ๖ ทวารว่าก็เป็นธรรมแต่ละอย่างนั่นเอง ถ้าเป็นอย่างนี้ก็หมายความว่ากำลังดำเนินทางละความไม่รู้ และก็ละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะละกิเลสได้เป็นสมุจเฉท หนทางละโดยตลอด
ที่มา ...