คิดว่าเข้าใจ


        การศึกษาธัมมะที่เป็นประโยชน์ก็คือ เพื่อความเข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงขณะนี้ ไม่ใช่การรู้เรื่องราวของธัมมะในส่วนต่างๆ แล้วคิด ว่าเข้าใจ


        ท่านอาจารย์ จะเห็นได้ว่า อยู่ที่เข้าใจ แต่ถ้าเราเป็นเรื่องราวมากมาย เราเข้าใจแหล่ะว่า คุณวิชัยเริ่มตั้งแต่ต้น เข้าใจๆ ๆ ไปหมด ถ้าเราวนเวียนอยู่อย่างนี้นะคะ ตลอดชีวิต เราก็อยู่ตรงนี้ คือตรงนั้นก็เข้าใจ ตรงนี้เข้าใจ สูตรนี้ว่าอย่างนี้เข้าใจ เอาสูตรนั้นสัทธรรม ๗ เข้าใจ อ้าวสูตรนี้สัทธรรม ๑๐ เข้าใจ สูตรนี้ปริยัติสัทธรรมเอาเข้าใจ คิดว่าเข้าใจ เราก็วนเวียนอยู่ตรงที่เราคิดว่าเข้าใจ แต่ตัวเข้าใจธรรม กว่าจะนำมาสู่การเข้าใจเดี๋ยวนี้ ที่เราบอกว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม

        อ.วิชัย คิดว่าเข้าใจในเนื้อความ เช่นคำนี้หมายถึงอะไร หรือว่าความเข้าใจหมายถึงอะไร แต่ว่าความรู้เหล่านั้น ไม่ได้น้อมไปที่จะให้เข้าใจตัวจริงของธรรม

        ท่านอาจารย์ ก็เพราะเหตุว่าเราคิดว่า เราเข้าใจ ต้องเข้าใจระดับไหน จึงจะชื่อว่าบริบูรณ์

        อ.วิชัย คือบางครั้งการศึกษาธรรม เหมือนกับว่าเป็นสิ่งที่มีคำเยอะแยะหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นสติปัฎฐาน อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ อย่างนี้ครับท่าจารย์

        ท่านอาจารย์ ก็เข้าใจหมด อยู่ตรงนั้น เข้าใจไปเรื่อยๆ เดี๋ยวสูตรนั้นมาเราก็เข้าใจ สูตรนี้มาเราก็เข้าใจ เราก็อยู่ตรงนั้น คือเราเข้าใจเรื่องของคำ

        อ.วิชัย สิ่งเหล่านั้นไม่นำไปสู่ความเดี๋ยวนี้หรือครับ

        ท่านอาจารย์ ถ้ายังคงเป็นอย่างนี้ เข้าใจเรื่องของคำ จะนำไปไหม

        อ.วิชัย ก็วนเวียนแต่ในเรื่องนั้น

        ท่านอาจารย์ วนเวียนแต่ในเรื่องนั้น

        ผู้ฟัง เรียนเพื่อให้เข้าใจความเป็นธรรมขณะนี้ที่ไม่ใช่เรา แต่เหมือนกับอุปสรรคของผู้เรียนก็จะเยอะ เรื่องราวก็ยาก บางคนก็ไม่สามารถเข้าใจได้

        ท่านอาจารย์ เดี๋ยวก่อนนะคะ ทราบไหมว่าอุปสรรคคืออะไร ถ้าไม่รู้ตอนนี้ก็แก้ไม่ได้

        ผู้ฟัง อุปสรรคก็คือความอยากรู้เร็ว

        ท่านอาจารย์ ความไม่รู้ และความอยากรู้ และความเป็นเรา เพราะฉะนั้นคิดดูนะคะ กว่าจะค่อยๆ ไม่ใช่เรา เป็นความเข้าใจคำที่ได้ฟังจริงๆ ว่าเป็นธรรม แล้วก็เข้าใจด้วยว่า คำนั้นกล่าวถึงธรรมอะไร อย่างสัทธรรม พอได้ยินเขาสัทธรรมกันทั้งนั้นเลย เราก็พลอยสัทธรรมไปกับเขา เขาได้ ๗ เราก็ได้ ๗ เขาได้ ๕ เราก็ได้ ๕ เขาได้ ๓ เราก็ได้ ๓ พูดถึงอะไรเรารู้หมด เท่านั้นหรือ ไม่เข้าใจว่า ฟังเพื่อเข้าใจ เพื่อละ ละความเป็นเรา ไม่ใช่ไปละความไม่รู้ ว่าเรารู้น้อย เราจะได้รู้มาก แต่ละความเป็นเรา

        เพราะฉะนั้นพอฟังคำว่าธรรม คิดดู ท่านพระอัญญาโกญทัญญะก็ฟัง ท่านพระสารีบุตรก็ฟัง ต่างกาล เข้าใจได้เร็ว กับคนที่ต้องฟังอีกนานมาก คำเดียวกัน เพราะอะไร เพราะเข้าใจคำที่ได้ฟัง เข้าใจตัวธรรม เข้าใจเรื่องละ แต่ว่าคนยุคนี้เวลาฟังเนี่ย ละหรือเปล่า ที่จะรู้ว่า ทรงแสดงเพื่อละ ให้เข้าใจเพื่อละ ทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อละ มีไหม เพราะฉะนั้นเพื่อละ ก็คือเรารู้ว่า ละได้ยังไงในเมื่อความเป็นตัวตนเนี่ยมากมายมหาศาล ความไม่รู้ก็มากมายมหาศาล และยังมีตัวตนกับโลภะที่ดึงชักพาไปทำอย่างโน้นอย่างนี้ พ้นจากการที่จะเข้าใจธรรมเพื่อละ ทั้งหมดเพื่อความเป็นตัวตนหมด เพราะฉะนั้นเรียน รู้ เพื่อละ สัทธรรม ๗ จะเท่าไหร่ก็สัทธรรม ๗ ไป แต่เดี๋ยวนี้รู้อะไร

        อ.อรรณพ คือมากมายหลายข้อธรรมเยอะแยะเนี่ย ก็ค่อยๆ เข้าใจไป

        ท่านอาจารย์ เพื่อรู้ว่าไม่ใช่เรา เพื่อละ รู้เพื่อละ แล้วละอะไร ละเห็นเดี๋ยวนี้ว่าเป็นเรา

        อ.อรรณพ ตัวเนิ่นช้าที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า คิดว่าเข้าใจ ว่าอันนี้เราก็เข้าใจ อันนี้เราเข้าใจ อันนี้เข้าใจ

        ท่านอาจารย์ ค่ะ เป็นตัวเรา

        อ.อรรณพ อาจจะทำให้วนอยู่อย่างนั้น

        ท่านอาจารย์ แน่นอนค่ะ ก็เป็นตัวเราที่รู้

        อ.อรรณพ วนอยู่ความคิดที่เป็นตัวเราเนี่ยนะครับ กราบเรียนท่านอาจารย์ว่าการเข้าใจขั้นเรื่องราวเนี่ย ก็เป็นปริยัติไม่ใช่หรือครับ

        ท่านอาจารย์ ขอโทษนะคะ ปริยัติคือธรรมเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เรา นั่นคือปริยัติ

        อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นการคิดเรื่องธรรม วนเวียนว่าเราเข้าใจเรื่องโน้น เรื่องนี้ ไม่ใช่ปริยัติอย่างนั้นหรือครับ

        ท่านอาจารย์ เข้าใจเดี๋ยวนี้ว่า ฟัง เพื่อละความเป็นเราจากเดี๋ยวนี้ อย่างเดียว จะสัทธรรมเท่าไหร่ก็ตามแต่ แต่ฟังเพื่อละความเป็นเรา ที่กำลังเป็นเราเดี๋ยวนี้

        อ.อรรณพ อย่างสัทธรรม ๗ เป็นเดี๋ยวนี้ยังไงครับท่านอาจารย์

        ท่านอาจารย์ สัทธรรมคือะไร ก็ต้องตั้งต้นใหม่ทุกที

        อ.อรรณพ ธรรมที่สงบ

        ท่านอาจารย์ อะไรเป็นธรรมที่สงบ

        อ.อรรณพ ปัญญาอย่างนี้

        ท่านอาจารย์ ค่ะ ปัญญาเข้าใจอะไร

        อ.อรรณพ ก็เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังมีกำลังปรากฏ

        ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏเข้าใจแค่ไหน

        อ.อรรณพ ก็เข้าใจตั้งแต่ขั้นฟัง ว่าเป็นสิ่งนั้นจริงๆ ที่มี ที่ปรากฎ

        ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเหมือน ๒๐ ปีก่อนไหม

        อ.อรรณพ ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

        ท่านอาจารย์ ความค่อยๆ เข้าใจขึ้นปรากฏไหม ก็ยังเป็นคุณอรวรรณ ก็ยังเป็นดอกกุหลาบ ได้ยินมาว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ช้ำแล้วช้ำอีกนับประมาณไม่ได้ จนถึงสัทธรรมต่างๆ แต่ก็ยังเป็นดอกไม้ เป็นคุณอรวรรณ

        อ.อรรณพ ก็ต้องเข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้นั่นเอง

        ท่านอาจารย์ แน่นอนค่ะ เพื่อให้รู้ว่าเราไม่เข้าใจมานานเท่าไหร่ ไม่ใช่ชาตินี้ ชาติก่อน ชาติโน้น สังสารวัฎ ความจริงถูกทับถมไว้ ไม่เปิดเผยเลย เหมือนอยู่ในความมืด ในเหวลึกด้วย ไม่ใช่อยู่มืดธรรมดา กว่าจะขึ้นมาได้ มีแสงสว่างไหนหล่ะ ถ้าไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะส่องไปถึงที่จะทำให้ค่อยๆ พ้นจากความมืดได้ เพราะฉะนั้นฟังแล้วเป็นปกติ เพราะธรรมไม่ใช่เรา ถ้าฝืนธรรม ผิด แค่นี้ก็ไม่รู้แล้ว


    หมายเลข 11675
    21 ก.พ. 2567