ปรากฏดีกับปัญญา
สภาพธรรมปรากฏกับความไม่รู้อยู่เป็นปกติ แต่ไม่ได้ปรากฏด้วยดีกับปัญญาที่เข้าใจสภาพธรรมนั้นตามความเป็นจริง ดังนั้นความเข้าใจตั้งแต่ขั้นการฟัง จะเป็นปัจจัยให้อารักขาจิต ไปจนกว่าสภาพธรรมจะปรากฏตามความเป็นจริงกับปัญญา จึงจะเป็นอารมณ์ของบิดา
ท่านอาจารย์ รูปเป็นของสาธารณะทั่วไปกับทุกคน เสียง กลิ่น รส แต่คำที่ได้ฟัง ที่เราใช้คำว่า อุปนิสสยโคจรอารมณ์ ทั้งหมดเป็นอารมณ์ของใคร แต่ละคำๆ ๆ ป็นอารมณ์ของใคร เป็นอารมณ์ของพระบิดา คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นลูกทุกคนนะคะ ที่จะได้ยินได้ฟังก็รู้ว่าคำนี้เป็นคำของใคร เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียว ซึ่งทรงเป็นพระบิดา มิฉะนั้นจะไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจธรรมได้เลย เพราะฉะนั้นอุปนิสสยโคจร เป็นอารมณ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่เป็นพระโพธิสัตว์จนกระทั่งได้ตรัสรู้ จนกระทั่งทรงแสดงธรรม
ผู้ฟัง เพราะยากมากที่จะเข้าใจ เพราะว่ายากจริงๆ
ท่านอาจารย์ ถ้าใครคิดว่าง่ายก็ผิดเลย คิดว่าง่ายเป็นไปได้ยังไง อะไรง่ายเห็นเดี๋ยวนี้เกิดดับ ได้ยินเกิดดับ เห็นประกอบด้วยนามขันธ์ ๔ ง่ายหรือค่ะ ไม่ใช่มีแต่จิตที่เห็น ยังมีความรู้สึก ยังมีความจำ ยังมีเจตสิกอื่นที่เกิด ปรุงแต่งให้เกิดขึ้น และดับไปไม่กลับมาอีกเลย ง่ายหรือ
ผู้ฟัง ยากมากค่ะท่านอาจารย์
อ.วิชัย เพราะฉะนั้นกำลังกล่าวว่า ไม่ใช่เราเนี่ย มีอะไรปรากฏให้รู้บ้าง ว่าไม่ใช่เรา
อ.อรรณพ ไม่ได้มีอะไรปรากฏ พูดตามไปงั้นอาจารย์ว่าไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ ทั้งๆ ที่ก็มีปรากฏ แต่ก็แค่พูดตาม แค่แข็ง อารมณ์นะคะ เป็นอารมณ์ของบิดาหรือยัง หรือว่าคนทั่วไปก็รู้แข็ง
ผู้ฟัง คนทั่วไปก็รู้แข็ง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะนั้นแข็งปรากฏกับจิตอะไร สำหรับคนทั่วไป
ผู้ฟัง ก็กายวิญญาณที่รู้แข็ง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเมื่อปรากฏเเล้ว ไม่เข้าใจใช่มั้ยคะ
ผู้ฟัง ไม่เข้าใจ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นปรากฏกับความไม่รู้ เพราะว่าจะต้องไม่รู้ไม่เข้าใจแข็งแน่ๆ เลย แข็งกำลังปรากฏ รู้แข็งนั่นหนึ่งละ แล้วกำลังไม่รู้ ไม่เข้าใจแข็ง มีไหม
ผู้ฟัง มีค่ะ
ท่านอาจารย์ ก็มี เห็นไหมคะ เพราะฉะนั้นอารมณ์ของบิดาก็คือ ให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีทั้งหมดนั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นแข็งหรืออะไรก็ตามแต่ เพราะฉะนั้นแข็งธรรมดาปรากฏกับอวิชชา ถ้าเราไม่พูดถึงธาตุที่กำลังรู้แข็งนะคะ กายวิญญาณไม่พูดถึง แข็งนี่แหละกำลังปรากฏกับอวิชชา แล้วเมื่อไหร่แข็งจะปรากฏกับวิชชา อย่างเดียวกันเลย แข็งเป็นแข็ง เป็นอื่นไม่ได้ แต่แข็งนั้นปรากฏกับอวิชชาเสมอมา เพราะไม่รู้ความจริง จนกว่าแข็งนั้นจะปรากฏกับปัญญาหรือวิชชา นั่นคืออารมณ์ของบิดา เพราะฉะนั้นจากแข็งซึ่งปรากฏกับอวิชชา ฟังไปๆ ๆ เมื่อไหร่ไม่ได้หวัง ขณะนั้นแข็งก็ปรากฏดี ต่างกันเเล้วใช่ไหมค่ะ เวลานี้เห็นก็มี ได้ยินก็มี แข็งก็มี คิดก็มี ไม่ได้ปรากฏดีสักอย่างเดียว เพราะอะไรคะ ดับไปโดยไม่รู้เลย อะไรบ้างก็ไม่รู้ แค่เห็นแล้วเป็นคนนั้นคนนี้ไปแล้ว ถ้าไม่มีปัญญา ไม่เข้าใจ จะเข้าใจคำว่าปรากฏดีไหมในพระไตรปิฏก ก็ไม่เห็นความต่างของขณะที่ปรากฏกับอวิชชาในชีวิตประจำวัน กับเริ่มปรากฏกับปัญญา ต่างกันแล้วค่ะ แม้แต่เป็นแข็งก็ต่างกัน
อ.กุลวิไล ความต่างกันของแข็งที่ปรากฏกับอวิชชากับแข็งที่ปรากฏกับปัญญา
ท่านอาจารย์ ค่ะ แข็งปรากฎกับอวิชชาก็ดับไป ก็ไม่รู้อะไร ตลอดไปจะเป็นความไม่รู้ ว่าแข็งนั้นเกิดแล้วดับ แล้วแค่แข็ง เป็นอะไรได้
อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์คะ แล้วแข็งปรากฏกับปัญญาเป็นอย่างไร
ท่านอาจารย์ แข็งเป็นแข็ง ขณะนั้นเป็นอื่นได้ไหมคะ
อ.กุลวิไล ไม่ได้แน่นอนค่ะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นแข็งเป็นสิ่งที่มีจริง ธรรมหรือเปล่า แข็งเป็นโต๊ะเป็นเก้าอี้ เป็นปากกา ดินสอหรือเปล่า เพราะฉะนั้นขณะที่เริ่มแข็ง ลักษณะที่แข็งปรากฏดีกับสติสัมปชัญญะ เพราะฉะนั้นเราไม่ต้องไปเรียกชื่ออะไรเลยทั้งสิ้น ใช่ไหมคะ แล้วไม่ต้องบอกว่าสติคืออะไร เมื่อไหร่ก็พูดไป แต่ว่าจริงๆ แล้วได้ก็ต้องเข้าใจแม้แต่คำที่ทรงพระมหากรุณาแสดงไว้ว่า ปรากฏดีต้องต่างกับขณะที่ปรากฏกับอวิชชา ปรากฎกับอวิชชาไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้นหมดไปแล้วเนี่ยคะ มีคนตั้งหลายคนนั่งอยู่ในห้องนี้ ไม่ได้ปรากฏดีว่าเป็นเพียงแค่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เป็นปกติด้วย เพราะฉะนั้นจากปกติธรรมดา และอวิชชาไม่รู้ จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนกระทั่งปรากฏดีนะคะ คนนั้นจะรู้ไหมว่าขณะนั้นสติสัมปชัญญะคืออย่างไร เพราะเหตุว่าปัญญาต้องมี ไม่อย่างงั้นสภาพนั้นปรากฏดีไม่ได้ เหมือนเดิม
อ.อรรณพ รู้ในลักษณะสภาพธรรมนั้น สภาพธรรมนั้นก็เปิดเผยลักษณะตามนั้น ที่ให้ปัญญารู้ตามความเป็นจริง จึงเป็นการปรากฏดี
ท่านอาจารย์ น้อยมากไหม
อ.อรรณพ น้อย
ท่านอาจารย์ กว่าจะเติบโตเจริญขึ้น จนกระทั่งเป็นปัญญาที่เป็นวิปัสสนา
อ.อรรณพ แม้ฟังธรรมอย่างงี้ ก็ยังมีความอยากให้ปรากฏดี โลภะก็แทรกๆ ๆ เต็มไปหมดท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ แล้วจะทำยังไง
อ.อรรณพ ก็เป็นเรื่องของตัวตนที่คิดไป
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าปัญญาไม่เกิด ก็เป็นเราไปตลอด ความอยากก็เป็นเรา แต่ปัญญาสามารถจะรู้ทุกอย่าง
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ ความอยากปรากฏด้วยดีกับปัญญา
ท่านอาจารย์ ว่าเป็นธรรม เป็นความอยาก ไม่ว่าระดับไหน ปัญญาสามารถเห็นว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นลักษณะนั้นๆ นี่คือปัญญาที่เข้าใจถูกตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นจึงใช้คำว่าเข้าใจถูก เพราะฉะนั้นถ้าคนที่ฟังน้อยปัญญาก็น้อย ความอยากเกิด รู้ได้เลยปัญญาไม่พอที่จะรู้ว่าขณะนั้นเป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่มีจริงเท่านั้นเองที่เกิดขึ้น ปัญญาต้องมีความเข้าใจต่อไปว่าทำอะไรไม่ได้ เกิดแล้วเป็นอย่างนั้นตามปัจจัย จะให้เป็นอย่างอื่นได้อย่างไร ไม่มีการเป็นตัวตนที่จะไปพยายามทำอะไร เพราะมีความเข้าใจในขณะนั้น อย่างที่คุณอรรณพกล่าวนะคะ ถึงยังไงโลภะก็เกิดมีกำลังแรงกล้า แต่อุปนิสสยโคจรสามารถที่จะถึงการอารักขาไหม ตรงนั้นต่างหากที่จะรู้ว่าอารักขาเมื่อไหร่ คือไม่ใช่หวังหรือไปทำอย่างอื่น แต่อารักขาให้รู้ ให้เข้าใจถูกต้องว่า นั่นคือสภาพธรรมเท่านั้นเอง ไม่ใช่คิดว่าแล้วจะทำยังไง ถ้าจะทำยังไงคือไม่ได้อารักขาในขณะนั้น เพราะฉะนั้นปัญญาจะอารักขาตามลำดับขั้นจนถึงการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม
อ.อรรณพ ปัญญาเข้าใจถูกขั้นการฟัง กับปัญญาที่ระลึกตรงลักษณะสภาพธรรม อารักขาต่างระดับกันยังไง
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีธรรม
อ.อรรณพ มีครับ
ท่านอาจารย์ สามารถจะค่อยๆ เข้าใจได้ ไม่ไปสำนักปฏิบัติก็อารักขาแล้ว แล้วก็สามารถที่จะอารักขาให้อยู่ในหนทางที่ถูก จนกระทั่งเป็นอุปนิพันธ ไม่พ้นไปจากการที่จะเข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ โดยความเป็นอนัตตา