เด็กอ่อนนอนหงาย
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นประดุจพี่เลี้ยงที่จะคอยอุปการะเกื้อกูลให้ผู้ที่ยังไม่รู้ความจริง ซึ่งเปรียบเหมือนเด็กอ่อนนอนหงายที่ยังไม่รู้ความ หยิบเศษไม้เศษกระเบื้องเข้าปาก ได้ค่อยๆ รู้ความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏขณะนี้ จนกว่าจะประจักษ์แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง เป็นพระอริยบุคคล ที่พ้นภัยจากความไม่รู้ โดยลำดับ
อ.อรรณพ การที่จะคลายจากความติดข้องในกาม และในพระสูตรนี้ ท่านมุ่งถึงความเป็นพระโสดาบัน จะละเอียดอย่างไรครับ
ท่านอาจารย์ ก็เป็นเด็กอ่อน ยังไม่โตเลย แล้วก็จะไปรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ยังไงคะ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ลองอ่าน และพิจารณาอีกครั้งนึง ให้รู้ว่าทุกคนเป็นเด็กอ่อนแน่นอนค่ะ
อ.อรรณพ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนเด็กอ่อนนอนหงาย
ท่านอาจารย์ เป็นไหมคะทุกคน ยังไม่มีเรี่ยวมีแรง ยังไม่ได้ลุกขึ้นทำกิจการงานที่สมควรเลย โตแล้วก็อย่างหนึ่ง นี่ถึงขนาดเด็กอ่อน คิดดูก็แล้วกัน ในธรรมวินัย
อ.อรรณพ เปรียบเหมือนเด็กอ่อนนอนหงาย คือเอาชิ้นไม้หรือชิ้นกระเบื้องใส่เข้าไปในปาก
ท่านอาจารย์ ทุกวัน ทำอย่างนี้ทุกวัน เดี๋ยวทางตา เดี๋ยวทางหู เดี๋ยวทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็คือสภาพของเด็กอ่อนที่ไม่รู้ความจริงว่านั่นคืออันตราย แต่ก็กระทำไปเพราะเด็กอ่อน
อ.อรรณพ เพราะความพลั้งเผลอของพี่เลี้ยง พี่เลี้ยงพึงสนใจในเด็กนั้นทันที รีบนำเอาชิ้นไม้หรือชิ้นกระเบื้องออกโดยเร็ว
ท่านอาจารย์ ใครคะ พี่เลี้ยง รู้คุณมั้ย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะทำอะไรก็ทรงแสดงพระธรรมให้พิจารณา ให้ไตร่ตรอง ให้เข้าใจ ขณะนี้ค่ะ ทางตากำลังเห็นก็เป็นเด็กอ่อน พี่เลี้ยงคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงให้รู้ว่า ควรที่จะละความติดข้องเพราะความไม่รู้
อ.อรรณพ พี่เลี้ยงพึงสนใจในเด็กนั้นทันที รีบนำชิ้นไม้หรือชิ้นกระเบื้องออกโดยเร็ว
ท่านอาจารย์ แล้วถ้าไม่มีพี่เลี้ยงละคะ ก็อยู่ไปอย่างนี้แหล่ะ ไม่มีใครคอยดูแล
อ.อรรณพ เด็กอ่อนนอนหงายนั้น ก็คว้าหยิบชิ้นอะไรต่ออะไรใส่ปากแล้วก็ได้รับทุกข์โทษอย่างนั้นไป ก็ไม่มีผู้ดูแลนะครับ ผู้ที่จะช่วยเหลือเลยนะครับ ถ้าไม่สามารถนำออกโดยเร็วได้ พึงเอามือซ้ายจับ งอนิ้วมือข้างขวา แล้วแยงเข้าไป นำออกมาทั้งที่มีโลหิต ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่าจะมีความลำบากแก่เด็ก เราไม่กล่าวว่า ไม่มีความลำบาก และพี่เลี้ยงผู้หวังประโยชน์มุ่งความสุขอนุเคราะห์ พึงกระทำอย่างนั้นด้วยความอนุเคราะห์ สำหรับเด็กอ่อนนอนหงายครับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็ทำทุกหนทางที่จะให้คนที่ไม่รู้อะไร ได้เริ่มเข้าใจถูกโดยประการต่างๆ ไม่ว่าจะโดยวิธีใดใด พระธรรมเทศนาใดใด ก็เพื่อให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องตามความเป็นจริง
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ อะไรเป็นชิ้นไม้ ชิ้นกระเบื้อง ที่เด็กอ่อนหยิบเข้าปากครับ
ท่านอาจารย์ เห็นมั้ย ได้ยินมั้ย
อ.อรรณพ มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส คิดนึกต่างๆ ครับ เป็นชิ้นกระเบื้อง
ท่านอาจารย์ ยังจะไปหาอะไรอื่นอีก ก็ขณะนี้ก็ไม่รู้ความจริง ว่าขณะเห็นแล้วติดข้องหรือเปล่า ก็เพียงอุปมาให้รู้ฐานะตามความเป็นจริงว่า คนที่ไม่รู้เปรียบเหมือนอะไร กำลังของคนที่มี ที่เติบโตแล้วกับกำลังของเด็กอ่อน ลองเทียบกันดู เกิดมาในสังสารวัฎตลอดเวลาที่ไม่รู้ความจริง ก็เหมือนเด็กอ่อน แต่ว่าจะมีพี่เลี้ยงคอยดูแลมั้ย หรือว่าปล่อยปละละเลยไปตลอดชาติ ก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ใช่หมายความว่าเราจะต้องมานั่งคิดแต่ละคำ เป็นไม้เป็นอะไรอย่างนั้น ก็คือสิ่งที่ปรากฎเดี๋ยวนี้เอง อุปมาโทษคืออย่างนั้น
อ.อรรณพ โทษคือ
ท่านอาจารย์ ไม่ว่าเห็นก็ไม่รู้ความจริง ติดข้อง นำมาซึ่งกิเลสอื่นๆ มากมาย เช่นความขุ่นเคืองใจก็เกิดเพราะความติดข้อง ก็ชีวิตก็เป็นอย่างนี้สำหรับผู้ที่ไม่รู้ความจริง
อ.อรรณพ ต่อไปนะครับ แต่เมื่อใดเด็กนั้นเจริญวัย มีความสามารถ เมื่อนั้นพี่เลี้ยงก็วางใจในเด็กนั้นได้ว่า บัดนี้ เด็กมีความสามารถรักษาตนได้แล้ว ไม่ควรพลั้งพลาดฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเป็นผู้ที่เราต้องรักษาเธอ ตลอดเวลาที่เธอยังไม่กระทำด้วยศรัทธา ด้วยหิริ ด้วยโอตตัปปะ ด้วยวิริยะ ไม่กระทำด้วยปัญญาในกุศลธรรม แต่เมื่อใดภิกษุกระทำด้วยศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ และกระทำด้วยปัญญาในกุศลธรรม เมื่อนั้นเราก็ย่อมวางใจในเธอได้ว่า บัดนี้ภิกษุมีความสามารถรักษาตนได้แล้ว ไม่ประมาท
ท่านอาจารย์ ก็เพียงฟัง ไม่ลืมว่าฐานะของเราผู้ที่ยังไม่ได้เข้าใจอริยสัจจธรรม เหมือนเด็กอ่อน สำนึกแค่นี้คำเดียว ยังเป็นเด็กอ่อนกว่าจะเติบโต พี่เลี้ยงที่คอยดูแล ก็ดูแลให้ค่อยๆ เจริญขึ้น ด้วยการที่ดูแลรักษา แต่ว่าอะไรหล่ะ ที่เป็นสิ่งที่จะทำให้เติบโตขึ้น ไม่ใช่เพียงกาย ทุกคนที่เป็นเด็กก็โตขึ้นตามธรรมดา แต่ว่าเด็กที่จากการที่ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมแค่ไหน แล้วจะค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีตามความเป็นจริงได้ จนกระทั่งสามารถที่พระองค์จะรู้ว่าคนนี้ไม่มีความเห็นผิด ที่จะหลงผิดไป ที่จะไม่รู้ว่าต่อไปเมื่อมีความเข้าใจแล้ว การที่จะอบรมเจริญปัญญาจนกว่าสามารถที่จะเข้าใจธรรมได้ ก็ต้องต่างกับคนซึ่งไม่รู้เลย ฟังก็ยาก ฟังแล้วก็ยังเข้าใจผิด คิดว่าจะต้องเป็นตัวเรา แค่นี้ค่ะ จะต้องเป็นตัวเรากับการฟังรู้ว่าไม่มีเรา คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือ ความจริงคือเป็นธรรม เด็กอ่อน มีความเป็นเรานานเท่าไหร่ กว่าจะค่อยๆ รู้จนกระทั่งสามารถเข้าใจได้ว่า ไม่มีเรา แต่มีธรรมในขั้นปริยัติ ฟังแล้วรอบรู้จริงๆ แล้วก็จากการฟังรอบรู้ก็รู้ว่า ยังไม่ใช่ปฏิปัตติเพียงแค่ฟัง จะฟังเรื่องเห็นขณะนี้เกิดแล้วดับ ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่า เห็นต้องเกิดเพราะปัจจัย และสิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นก็มีความดับไปเป็นธรรมดา ใช่หรือเปล่า จริงหรือเปล่า
ทั้งหมดก็คือธรรม ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แม้แต่เกิดมาก็ต้องมีเหตุที่จะให้เกิดทุกอย่าง ไม่มีเราสักอย่างเดียว ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้มั่นคง ก็รู้ว่ายังไม่ได้ประจักษ์สภาพที่เรากำลังพูดถึง ว่าเห็นขณะนี้เกิดแล้วดับ เมื่อความจริงคือเห็นเกิดแล้วดับ เพียงขั้นเข้าใจปริยัติไม่พอ ความเข้าใจที่มั่นคงว่านั่นคือขั้นฟัง ทำให้มีสัจจญาณ ความมั่นคงว่า การที่จะเข้าใจธรรม ก็คือเข้าใจธรรมที่กำลังปรากฎนี่แหล่ะ จะเข้าใจอื่นได้ยังไง มั่นคงไหมคะ กำลังได้ยิน ก็เข้าใจได้ยินที่เกิดขึ้นได้ยินนั้นแหล่ะ และเสียงที่ปรากฎ เพราะว่าขณะนั้นไม่มีอย่างอื่น จิตเกิดขึ้นทีละหนึ่งขณะ ขณะที่ได้ยินจะมีอื่นไม่ได้เลย นอกจากได้ยิน มีภวังค์ได้ไหม ดำรงภพชาติก่อนได้ยินไม่ได้ มีการที่จะชอบ ไม่ชอบ ในขณะที่เพียงได้ยินได้ไหม ก็ไม่ได้
นี่คือการฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจที่มั่นคงว่า ไม่มีใครสามารถที่จะทำอะไรได้เลย แต่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่า ทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งอาศัยกัน และกันเกิดขึ้น ฟังอย่างนี้อีกนานเท่าไหร่ก็คือเด็กอ่อน จนกว่าจะมีความเข้าใจที่มั่นคง เติบโตขึ้น พี่เลี้ยงก็ไว้วางใจได้ว่า ไม่เข้าใจผิด สามารถที่จะมีปริยัติ คือสัจจญาณนำไปสู่ปฏิปัตติ การที่ค่อยๆ คุ้นกับเห็น ได้ยินแต่เรื่องเห็น ได้ยินมานานด้วย คุ้นกับเห็นเดี๋ยวนี้หรือเปล่า พี่เลี้ยงก็ต้องคอยประคับประคอง จนกระทั่งด้วยพระธรรมเท่านั้นค่ะ ไม่ใช่อย่างอื่นเลย แม้พระองค์ปรินิพพานแล้ว พระธรรมที่ยังได้ฟังกันอยู่ ก็สามารถที่จะทำให้รู้จักความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเห็นพระคุณว่า การที่จะรู้จักธรรม ไม่ใช่เพียงแค่ฟังเรื่องของธรรม แต่ตัวธรรมเดี๋ยวนี้ยังไม่เคยรู้จัก ยังไม่เคยคุ้นกับสภาพที่เป็นธรรม ที่ไม่ใช่เรา ทั้งๆ ที่กำลังฟัง ไม่รู้เลยว่ามีความเป็นเราที่ยังไม่ได้ละคลาย แต่เริ่มมีความเข้าใจขึ้น