เรียนธัมมะเพื่อละ


        ท่านอาจารย์ จริงๆ นะคะ เราคงจะไม่ไปถึง ศึกษาเพื่อที่จะได้เป็นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เพราะนั่นเป็นชื่อ ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นศึกษาทั้งหมดเพื่อเข้าใจ คำนี้คำเดียว เพราะเราไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจสิ่งที่มี ในใจจุดมุ่งของเราเพื่อที่จะไปโน้นเลย ใช่มั้ยคะ ก็แปลว่าเรามีความหวัง ที่เราศึกษาทั้งหมดเพื่ออันนั้น แต่ถ้าเราศึกษาเพื่อเข้าใจ เป็นเรื่องละ เพราะว่าจากการที่เราไม่เคยเข้าใจเลย แล้วได้เริ่มเข้าใจ ความเบิกบานของจิตเนี่ย จะมาจากการที่เราได้รู้สิ่งที่เราไม่เคยรู้มาก่อน เพราะฉะนั้นการที่เราจะค่อยๆ ละความเป็นเรา เราไม่ต้องไปคำนึงถึงคำว่าจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เพราะเหตุว่าส่วนใหญ่ เราจะมุ่งไปที่คำ แล้วก็เรื่องโดยความหวัง ซึ่งเราไม่รู้ตัว เพราะว่าเรามีความหวังตลอดในสังสารวัฏ ตั้งแต่เกิดมาด้วยความไม่รู้

        เพราะฉะนั้นเมื่อเปรียบเทียบระหว่าง การที่ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น มืดบอดมาช้านานในสังสารวัฏกับการที่ได้เริ่มเข้าใจเนี่ย การเริ่มเข้าใจเนี่ยจะค่อยๆ ละ ไม่ใช่ไปเสริมสร้างความหวังเอาไว้ว่า เพื่อเราที่จะได้ไปถึงจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เพราะว่าถึงไม่มีคำพูดใดๆ ความหวังก็มีอยู่เป็นประจำ เพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้นกว่าแต่ละคำนำไปสู่การละ ก็สังเกตดูนะคะ คนที่ศึกษาธรรมด้วยความมุ่งหวังจะรู้ชื่อ รู้เรื่องมากๆ เนี่ย ไม่ได้ละ แต่ว่า จากการที่สำนึกว่า สำนึกนะ ไม่รู้เลยเนี่ย ไม่รู้เลย ลืมตาขึ้นมาก็ไม่รู้ ถ้าไม่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ย มีโอกาสจะรู้ความจริงมั้ย ว่าความจริงที่ตื่น ความจริงที่เปิดเผย ความจริงที่ทำให้ความไม่รู้ที่หนาแน่น ค่อยๆ น้อยลงไป แม้เพียงเล็กน้อยนิดนึง ก็เป็นหนทางที่จะทำให้สามารถที่จะดับความไม่รู้ได้ ให้หมดสิ้น แต่ไม่ใช่ด้วยความไม่รู้ และด้วยความหวัง ละก็เรียนเพื่อหวัง ไม่ใช่อย่างนั้นเลย

        เพราะฉะนั้นเพื่อเข้าใจเนี่ย แทบจะกล่าวได้ว่าเป็นคาถา คำที่นำไปสู่การละคลายที่เราจะลืมไม่ได้เลยว่า ทั้งหมดเนี่ยละอะไร ละความติดข้องในความเป็นเรา ในลาภ ในยศ ในสักการะ ในทุกอย่างที่เคยติดมานานแสนนาน เพราะฉะนั้นการละพวกนี้นะคะ จะละไม่ได้เลย ถ้าไม่รู้ความจริงว่า ไม่ใช่เรา และไม่ได้รู้ความจริงว่า แท้ที่จริง ไม่มีอะไร แต่ทีนี่ที่ทุกคนติดข้องในสังสารวัฏเนี่ย เพราะคิดว่ามี แต่ไม่รู้ว่าไม่มี เพราะจากไม่มี ก็เกิดมี แล้วก็ไม่มีเลยสั้นมากเร็วมาก แต่ต่อกันจนเหมือนกับโลกมายาที่ทำให้เหมือนกับว่ามีทุกสิ่งทุกอย่างที่เราติดข้องมาแล้ว และจะติดข้องต่อไป

        เพราะฉะนั้นความเข้าใจถูก ความรู้ถูกอันเดียว เป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่การเข้าใจขึ้นๆ ซึ่งละความหวัง เพราะฉะนั้นศึกษาธรรมด้วยความเข้าใจ เราก็เบาสบาย เราไม่เดือดร้อนมานั่งคิดว่าเอ๊ะ ทำไมเรารู้น้อย ในสังสารวัฏนี้ เราไม่รู้มาตั้งเยอะแยะ แล้วเมื่อไหร่เราจะรู้ นี่คือ ไม่ได้เข้าใจ แต่นี่ด้วยความเป็นเรา

        เพราะฉะนั้นแม้แต่การที่จะตั้งจิตไว้ชอบในการที่จะศึกษาจริงๆ เนี่ย ยาก ต้องเป็นปัญญา เพราะฉะนั้นปัญญาที่เข้าใจถูก เห็นถูกที่จะรู้ว่า ความเข้าใจซึ่งไม่เคยมี แล้วมีขึ้นน่าอัศจรรย์ไหม จากหลับสนิท แล้วก็จะสามารถตื่น แล้วก็รู้ เข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฎ ทีละเล็กทีละน้อยนะคะ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ทั่ว รู้ชัดเจนโดยตลอด เพราะเหตุว่าฟังไปหวังไป เห็นไหมคะ แต่ฟังแล้วรู้ว่า เนี่ยได้เข้าใจ คำว่าเข้าใจแค่นี้ รู้ว่าไม่พอด้วย และรู้ว่าถ้าไม่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔๕ พรรษา โดยละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง ทั้งหมดเพื่อให้เข้าใจขึ้น นำไปสู่ความเข้าใจขึ้น ไม่ใช่นำไปสู่ความติดข้อง

        เพราะฉะนั้นความเข้าใจ ความละเอียดยิ่งนะคะ และการที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี จนกระทั่งแต่ละคำของพระองค์เป็นคำที่สามารถที่จะทำให้ความไม่รู้ และความติดข้องเนี่ย ค่อยๆ ละลายสิ้นไปได้ คิดดู มันติดแน่น เหนียว หนา มากมายมหาศาล แต่คำของพระองค์แต่ละคำ สามารถที่จะทำให้มีความเข้าใจ ซึ่งเริ่มที่จะไปทำลายความเห็นผิดซึ่งมาก จนกว่าจะหมด ไม่เกิดอีกเลย


    หมายเลข 11682
    17 ก.พ. 2567