ลักษณะของจิต
ลักษณะของจิต ที่เป็นใหญ่เป็นประธาน มีความหมายอย่างไร
ท่านอาจารย์ ถ้าศึกษาเรื่องจิต เพื่อเรา จะได้เข้าใจว่าจิตมีเท่าไหร่ จะนำไปสู่การละไหม เพราะฉะนั้นแม้ได้ยินคำว่าจิต รู้เลยว่าเดี๋ยวนี้มีก็ไม่รู้ เพียงแค่เริ่ม ที่จะได้ยินได้ฟัง เริ่มได้ยิน ได้ฟังกับการพิจารณา ไตร่ตรองว่าสิ่งนี้กำลังมี ต่างกันใช่ไหมคะ นั่นเริ่มได้ยินได้ฟังแต่ไม่ได้คิดเลยว่า กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นคนที่ฟังแล้วรู้ว่ากำลังมีเดี๋ยวนี้เนี่ย ฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ไปฟังเพื่อตัวเรา แต่ฟังเพื่อรู้ความจริงว่า สิ่งที่กำลังมี ซึ่งไม่เคยปรากฎเลย อย่างจิตเนี่ยพูดกันไป คนนี้ใจดี จิตดี จิตมีเท่าไหร่ แต่ลักษณะของจิตไม่ได้ปรากฎ เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้ปรากฎ เดี๋ยวนี้ปรากฎเฉพาะสิ่งที่จิตกำลังรู้ ตัวจิตแท้ๆ ยังไม่ได้ปรากฎเลย เพราะฉะนั้นการที่ฟังแล้ว กว่าสภาพของจิตจะปรากฎโดยไม่สงสัย คำว่าไม่สงสัยเนี่ยต้องนานมากเลย เพราะว่าไม่เคยรู้ความจริงของจิตมานาน เพราะฉะนั้นยังสงสัย เดี๋ยวนี้ทุกคนเนี่ยยังสงสัย ว่าลักษณะของจิตแท้ๆ เป็นยังไง เป็นใหญ่ เป็นประธาน คำว่าใหญ่กับประธาน มีความหมายแค่ไหน ใช่ไหมคะ เราคาดคะเนไม่ถูก ถ้าลักษณะของจิตไม่ปรากฎว่า ใหญ่ขนาดที่ว่าไม่มีอะไรเลย นอกจากจิตขณะนั้น ใหญ่จนกระทั่งไม่มีสิ่งอื่นที่จะปรากฎ เพราะว่าลักษณะของจิตกำลังปรากฎ
อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับ อย่างเช่นในจิตตานุปัสสนา จิตมีราคะก็ย่อมรู้ชัดว่าจิตมีราคะ
ท่านอาจารย์ แล้วไง ตัวจิตก็ยังไม่รู้ แล้วจะรู้ไหมว่าเดี๋ยวนี้จิตมีราคะหรือเปล่า อย่างเห็นอย่างนี้ มีราคะหรือเปล่า ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง ใครจะบอกได้ว่าชั่วขณะเห็นไม่มีราคะ ไม่มีทางรู้อะไรสักอย่าง เพราะว่าตัวจริงของธรรมขณะนี้กำลังเป็นอย่างนั้น ราคะก็มี เกิดแล้ว ติดข้องแล้ว ในสิ่งที่ปรากฎแล้วก็ไม่รู้ อาสวะ กามาสวะ เกิดแล้วก็ไม่รู้ เพราะว่ายังไม่รู้จักจิต เพราะฉะนั้นจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานทั้งหมด แสดงจิต ลักษณะ นัยยะต่างๆ ตามความเป็นจริง ให้รู้ว่า นั่นคือธาตุที่เป็นใหญ่ เป็นประธานแต่หลากหลาย ถึงแม้จะมีสภาพธรรมอื่นร่วมด้วยนะคะ แต่ลักษณะอาการของธาตุที่เป็นใหญ่ เป็นประธานปรากฎ
เพราะฉะนั้นจิตที่กำลังเกิดขณะนี้ เราจะรู้มั้ยว่ามีเจติกเกิดร่วมด้วยเท่าไหร่ และมีอกุศลเจตสิกเกิดด้วย หรือว่ามีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย ก็ไม่รู้เลย ใช่ไหมคะ แต่อาการของจิตเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นไม่ว่าจิตลักษณะใดทั้งสิ้น เราเลือกไม่ได้ว่าปัญญาจะรู้อะไร จิตไหน ในภาวะความเป็นจิต แต่ให้รู้ว่าแม้จิตประเภทนั้นๆ ภาวะความเป็นจิตก็เป็นใหญ่ ที่จะต้องเข้าใจในความเป็นจิต ไม่อย่างนั้นเราจะไปเจาะจงหาจิตไหน เพราะจิตเป็นใหญ่ทั้งหมด ไม่ว่าหลับ ไม่ว่าตื่น ไม่ว่าเห็น ไม่ว่าได้ยิน ไม่ว่าโกรธ ก็มีจิตซึ่งเป็นใหญ่ เป็นประธาน
เพราะฉะนั้นที่จะรู้เฉพาะจิตล้วนๆ จิตต้องหลากหลาย แต่ในจิตหลากหลาย ลักษณะของจิตปรากฎ ให้แม่นยำ ให้ถ่องแท้ เพื่อที่จะคลายความเป็นเรา ถ้าตราบใดยังไม่ชัดเจน ใช่ไหมคะ ก็ยังสงสัย เพราะฉะนั้นเอาอย่างนี้นะคะ เดี๋ยวนี้ทุกคนมีจิต จิตเป็นยังไง จิตไหนหล่ะ จิตทั้งนั้นทุกขณะ ทุกขณะไม่ได้ปรากฎ
เพราะฉะนั้นปัญญาระดับไหน ที่จะเข้าใจนะคะ ไม่ใช่ไม่มี มีแต่ไม่เข้าใจในความเป็นใหญ่เป็นประธานของสิ่งหนึ่งที่กำลังมีในขณะนี้ อย่างเราไม่ต้องเรียกชื่อก็ได้ อย่างพอโกรธเกิดขึ้นเนี่ย ขณะนั้นลักษณะของโกรธปรากฎไม่ใช่จิต เพราะฉะนั้นขณะนั้นความเป็นใหญ่ของจิตก็ไม่ได้ปรากฎ เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน โดยชื่อ แต่ชื่อนั้นมาจากไหน มาจากจิตปรากฎหรือเปล่า ถ้าจิตไม่ปรากฎก็ไม่ใช่จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานเท่านั้นเอง แค่ให้รู้ว่าความรู้ต้องตรง ต้องชัด ไม่ว่าขณะไหนทั้งสิ้น ก็มีจิตที่เกิดร่วมกับเจตสิก เพียงแค่เห็นดับ คิดดู จิตเกิดต่อไม่ต้องพูดถึง ไม่ได้ปรากฎเลย สัมปฏิจฉันนะ สันติรณ โวฏฐัพพนะ แม้แต่กามาสวะ ภวาสวะ ก็ไม่ได้ปรากฎ แต่เกิดแล้วเนี่ย
เพราะฉะนั้นเราพูดถึงสิ่งที่มีตลอด ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งเมื่อคืนนี้หลับไป เช้านี้ตื่นขึ้นมา สภาพธรรมก็เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเราจะไปเจาะจงไม่ได้ ถ้าเราเจาะจง ความเป็นตัวตนที่ลึกไม่ปรากฎหรอก ลวงไปตลอด ให้ทำอย่างนั้นให้ทำอย่างนี้ เพราะว่ามีโลภะมีความติดข้องอยู่ด้วย ทุกสิ่งอยู่ในความมืดสนิท สนิทนะคะ เพราะมันยังไม่เปิดเผย จะไม่ว่าสนิทได้ยังไง จนกว่าพระธรรมมีความสามารถที่จะเข้าใจ ในสิ่งที่มีแต่ไม่เคยปรากฎให้เข้าใจเลย ปรากฎก็ในลักษณะอื่นหมดเลย ในลักษณะที่เป็นคน เป็นวัตถุ เป็นสิ่งต่างๆ เหมือนมายา ที่ทำให้ไม่รู้ความจริง เหมือนคนที่หลับ เวลานี้ก็เหมือนหลับ ถ้ายังไม่ตื่นขึ้น ถ้ายังไม่รู้ลักษณะของจิต เจตสิก รูป ก็ยังหลับ ก็หลับไปทุกชาติจนกว่ามีผู้ตื่น เราถึงจะเห็นความต่างกันของความรู้ ความเข้าใจ ตัวธรรมกับเรื่องราวของธรรม ใช่ไหมคะ อย่างเราฟังธรรมเนี่ย คนฟังด้วยกันยังต่างกัน คนนึงไม่รู้เลย เดินเข้ามาก็ฟัง ฟังแล้วก็งงพูดเรื่องอะไร ก็มีใช่ไหมคะ แต่คนที่ฟังสามารถที่จะเข้าใจ ว่ากำลังพูดเรื่องนี้ แต่คนที่ฟังแล้วสามารถที่จะเห็นประโยชน์ จนกระทั่งว่าแม้คำที่ได้ยินก็ลึก แล้วก็สามารถที่จะถึงได้ แต่ไม่ใช่เพียงแค่ด้วยการฟังเล็กๆ น้อยๆ
เพราะฉะนั้นก็มีความหลากหลายมาก แต่ให้ทราบว่าทั้งหมดเนี่ย ปัญญาคือ ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกสามารถที่จะเริ่มเกิดเมื่อได้ฟังพระธรรม แล้วไตร่ตรอง แล้วเข้าใจ แต่ความเข้าใจระดับนี้ เป็นความเข้าใจเพียงเรื่องของสิ่งที่มี แต่ตัวธรรมก็มีเวลานี้เกิดดับทั้งจิต เจตสิก รูปไม่ได้ปรากฎเลย
เพราะฉะนั้นคำของพระองค์ต้องสอดคล้องกับความจริง ว่าพระองค์ตรัสถึงสิ่งที่มีจริง แต่สิ่งที่มีจริงยังไม่ได้ปรากฎ ตรัสเรื่องจิต จิตก็ไม่ได้ปรากฎ เรื่องเจตสิก เจตสิกก็ไม่ได้ปรากฎ เรื่องรูป รูปก็ไม่ได้ปรากฎโดยความเป็นรูป แต่ปรากฎโดยความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด