ปัญญาละโลภะ
ไม่ลืมนะคะ ฟังเพื่อให้เข้าใจ อาจหาญร่าเริง โลภะใครห้ามได้ ปัญญาแค่ไหนจะไปห้ามโลภะ แต่ปัญญารู้จักโลภะ จึงละโลภะได้ ในบรรดาสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ปัญญาประเสริฐสุด เพราะโลภะมหาศาลสักเท่าไหร่ก็ตามแต่ ปัญญาดับได้ สำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์ว่าโลภะก็เกิด ติดข้องหน้าที่ของโลภะไม่ได้ทำหน้าที่อื่นเลยค่ะ ไม่สละ ติดข้อง เพิ่มพูน เหนียวแน่นหนาแน่น
เพราะฉะนั้นปัญญาสามารถที่จะเห็นว่า ก็แค่เกิดขึ้นแล้วก็ดับ โลภะมีกำลัง ตั้งแต่อ่อนที่สุดจนถึงมีกำลังมาก แต่ปัญญาก็ดับได้ แต่ต้องเข้าใจนะคะ อยู่ดีๆ ไม่เข้าใจจะไปหาวิธีอื่นไม่มีทาง เรามีโอกาสได้ฟังพระธรรม ได้เข้าใจ นี่คือเข้าใจให้ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าอยากจะรู้นั้น อยากจะรู้นี้ ก็คงเป็นเรา และอยากรู้ไปทำไม ลึกลงไปก็คือเป็นเรา แต่เข้าใจสิ่คะแต่ละคำ ว่าธรรมทั้งนั้นเลย แค่ธรรมทั้งนั้น ธรรมทั้งหลาย เราจะเลือกไหม ถ้าเป็นปัญญาไม่เลือกแน่นอน แล้วแต่ว่ามีเหตุปัจจัยที่จะเกิดเมื่อไหร่ เพราะว่าการเกิดขึ้นของปัญญามีหลายขั้น ขั้นคิดจากที่ได้ฟัง จนกระทั่งไม่ต้องคิดก็เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฎตามลำดับขั้น จึงมีสุตตมยปัญญา ภาษาบาลีนะคะ ปัญญาสำเร็จจากการฟัง หมายความว่าฟังไม่ใช่ได้ยิน ต้องไตร่ตรอง แต่ว่าบังคับได้ไหม ไม่ได้ บางคนกิเลสก็พาไป อ่านใหญ่เลย ฟังใหญ่เลย ไตร่ตรองใหญ่เลย เพราะอยากรู้ อยากเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นกิเลสนี่เล่ห์เหลี่ยมกลวิธีมากมายมหาศาล และก็อยู่มาจนกระทั่งภาษาบาลีมีคำว่า ตัณหาทาโส ทุกคนเป็นทาสของตัณหา เป็นทาสที่ยินยอม ยอมเป็นธาตุไปเรื่อยๆ ใครอยากหมดบ้าง เห็นไหม ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ดี ใครอยากหมดบ้าง ยังยอมเป็นทาสต่อไปอีก โลภะเขาตามใจทุกอย่าง อยากจะสงบหรือ ทำฌานไปเกิดในรูปพรหม รูปพรหมยังใกล้ชิดต่อรูป เสียง กลิ่น รส ก็เป็นความสงบที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์ เป็นอรูปฌานทำให้เกิดเป็นอรูปพรหม แต่ไม่พ้นจากโลภะ ยังต้องกลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นถ้าไม่ใช้ปัญญาจริงๆ ก็ถูกล่อลวงไปด้วยโลภะประการต่างๆ เพราะฉะนั้นเป็นปกติค่ะ เดี๋ยวนี้เป็นธรรม และแล้วแต่ปัญญาว่าจะเข้าใจธรรมไหน เลือกไม่ได้เลย เลือกไม่ได้แสดงความเข้าใจหรือความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นบางคนก็คิด แหมเสียดายเวลาอย่างนั้น เสียดายนั่นก็เป็นธรรมค่ะ ไม่ใช่เราก็ไม่รู้ ก็เป็นตัวตนไปตลอดเลย
เพราะฉะนั้นในบรรดาอกุศลทั้งหมด สิ่งที่จะดับก่อนกิเลสอื่นทั้งหมด คือความเห็นผิด ความเข้าใจผิดว่าเป็นเรา ยากที่สุด เพราะเป็นเรามานาน แต่อาศัยพระธรรม และความเป็นผู้มีปกติรู้ทันโลภะ เพราะว่าเข้าใจจริงๆ ว่า ถ้าไม่ใช่ความเข้าใจ ก็ไม่ใช้ปัญญา และตัวเราซึ่งมีความเห็นผิดว่าเรา จะไปดับโลภะได้ยังไง ก็ต้องเป็นความเข้าใจเท่านั้นที่ค่อยๆ เพิ่ม ทีละเล็กทีละน้อยก็ทำไงได้ ถ้าทีละเล็กทีละน้อยก็ทีละเล็กทีละน้อย แล้วถ้าไม่ใช่ทีละเล็กทีละน้อยจะมีมากๆ ได้ไหมเนี่ย เอามายังไงก็ทีละก้อนโตๆ ไม่ได้เลยค่ะ ต้องทีละเล็กที่ละน้อยจริงๆ ด้วยความมั่นคง