ไม่เป็นอย่างที่คิด


        สิ่งที่เกิดแล้วดับจะไม่กลับมาอีกเลย และด้วยความรวดเร็วของการเกิดดับสืบต่อ จึงเป็นเสมือนหลายๆ อย่างมารวมกันเป็นตัวตน และยึดถือว่าเป็นบุคคล สิ่งต่างๆ แต่เมื่อปัญญาประจักษ์สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็จะไม่เหมือนกับที่เคยคิดเคยจำไว้เลย


        ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นผู้ตรง ไม่รู้มานานเท่าไรแล้ว และจะให้มารู้เร็วๆ เป็นไปได้หรือ

        อ.วิชัย เป็นไปไม่ได้ครับ

        ท่านอาจารย์ เพียงแค่ว่า วันนี้มีอะไรบ้างที่ปรากฏ ก็แค่เห็นกับได้ยิน หารู้ไม่ว่า ระหว่างนั้นมีจิตเกิดดับเท่า และเรื่องล่ะค่ะ ได้ยิน และคิดนึกมากมายก่ายกองจากสิ่งที่ปรากฏ เป็นเรื่องราวต่างๆ เป็นอาหาร เป็นธุรกิจ เป็นการงานต่างๆ เพราะจิตเกิดขึ้นเป็นธาตุรู้ ถ้าไม่มีธาตุรู้ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธาน โลกก็ไม่มี อะไรก็ไม่ปรากฏ เรื่องราวต่างๆ จะมีได้ยังไงค่ะ แม้ไม่เห็น ดอกกุหลาบเกิดดับไหม เกิดดับ จะรู้ว่ามีดอกนี้ก็ต่อเมื่อกระทบตา แล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏ มีประโยชน์อะไร

        อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับ ท่านอาจารย์ว่า ดอกกุหลาบที่มีอยู่ตรงนี้ไม่ใช่ดอกเก่าหรือครับ

        ท่านอาจารย์ แน่นอนค่ะ ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่เข้าใจธรรมว่า สิ่งที่ปรากฏดับแล้ว ข้างนอกห้องนี้ ก็มีสิ่งที่เกิดดับค่ะ แต่ไม่ปรากฏเลย จนกว่าจะกระทบ จึงปรากฏว่ามี แล้วดับไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย แต่ละคำของพระองค์ สำหรับไตร่ตรองพิจารณา ไม่ใช่เพื่อเราจะไปรู้อย่างอื่นมากมาย ด้วยความเป็นเรา แต่เพื่อให้เห็นความเป็นไปของธรรม ว่านี่แหล่ะธรรม ธรรมก็เป็นอย่างนี้ สิ่งที่มีจริง มีแน่ๆ

        อ.วิชัย แสดงว่าความจำ ในความเป็นสิ่งที่ยังเที่ยง ยั่งยืน คือ เพราะมีความไม่รู้ความจริง

        ท่านอาจารย์ อัตตสัญญา มาเพราะไม่รู้การเกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ แล้วจะรู้ได้ยังไงคะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความเป็นจริง ว่าสิ่งที่ปรากฏ ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นอัตตา ก็เพราะมีหลายๆ อย่างธรรมแต่ละอย่างมารวมกัน จึงสามารถที่จะปรากฏเป็นนิมิตรูปร่างสัณฐาน เพราะไม่รู้ ว่ากำลังเกิดดับแต่ละหนึ่ง เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เป็นอัตตา และจะรู้ความจริงว่า จริงๆ แล้วไม่ได้เที่ยงอย่างนั้นเลย เพราะกำลังเกิดดับ ถ้าไม่ปรากฏ ถ้าไม่กระทบ จิตเห็นไม่เกิดขึ้น สิ่งนั้นก็ไม่ปรากฏว่ามี เพียงเท่านี้ คิดสิ่ คิดจนกว่าจะมั่นคง ว่าไม่มี มีแต่ธรรม ซึ่งมีปัจจัยเกิดดับอยู่ตลอดเวลาทั้งหมด ไม่ว่าจะโลกไหน ไม่ว่าจะโลกไหน ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ชาติไหน ก็คือเป็นอย่างนี้แหล่ะ

        อ.วิชัย ยากที่จะเห็นความเป็นจริงของสิ่งนั้นได้

        ท่านอาจารย์ ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะว่าทันทีที่กระทบตา ไม่ใช่ดอกกุหลาบ มานั่งจำอยู่ว่ามีดอกกุหลาบอยู่ในห้องนี้ ดอกสีเหลืองนี้ก็เป็นสีเหลืองไปอีกหลายวัน ก็นั่งจำไป คิดไป แม้ไม่ปรากฏ ยังคิดอย่างนั้นเลย แสดงว่ายังไง แสดงว่าจำไว้แม่น มีความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หารู้ไม่ว่า สิ่งใดที่กำลังเกิดดับ ถ้าไม่กระทบ ไม่ปรากฏ

        อ.วิชัย แม้แต่คิด ก็ไม่เห็น

        ท่านอาจารย์ ก็เกิดดับ แต่เวลาปรากฏ ไม่ใช่อย่างที่เคยคิดเมื่อมีความเข้าใจ ไม่เป็นอย่างที่เคยคิด เมื่อเข้าใจ คำสั้นๆ สิ่งที่ปรากฏ เป็นดอกกุหลาบสีเหลืองก็ได้ ถ้าไม่ปรากฏความเป็นจริง ก็ยังคิดว่ามีดอกกุหลาบสีเหลือง จำไว้แน่นหนามาก แต่เวลาปรากฏไม่ใช่ดอกกุหลาบสีเหลือง นี่คือธรรม กว่าจะรู้ว่าสิ่งที่มี ที่เป็นธรรมที่เราบอกว่าทุกอย่างเป็นธรรม ยังไม่ได้รู้ถึงความจริงของธรรมที่เรากล่าวถึง เพียงแต่ฟังไว้ เข้าใจขึ้น และก็มั่นคง ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มี เกิดเมื่อมี จะปรากฏหรือไม่ปรากฏอีกเรื่องหนึ่ง แต่เพราะกำลังเกิดดับสิ่ จึงได้กระทบตาได้ ไม่ใช่ว่าสิ่งนั้นไม่มี คนข้างนอกก็มี รถยนต์ก็มี อะไรๆ ก็มี กำลังเกิดดับ แต่ถ้าไม่กระทบ จะปรากฏไหมว่ามี

        อ.วิชัย ไม่มี

        ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น แม้แต่เราจำว่า มีกุหลาบสีเหลือง แต่ว่าไม่กระทบตา ดอกกุหลาบสีเหลืองปรากฏไหม

        อ.วิชัย ไม่ปรากฎ

        ท่านอาจารย์ แค่นี้ก็ไม่รู้ว่า ทันทีที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดกระทบปรากฏ ดับทันที ไม่มีอะไรเหลือเลย

        อ.วิชัย เพียงแต่คิด เพียงแต่จำเอาไว้ครับ ว่ามี

        ท่านอาจารย์ อยู่ในโลกมายา โลกของความคิด ว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงมานานแสนนาน จนกว่าสภาพธรรมจริงๆ ที่กระทบตาได้ เมื่อกระทบแล้ว สภาพนั้นปรากฏความไม่ใช้ดอกกุหลาบสีเหลือง จากที่จำไว้ว่าเป็นดอกกุหลาบสีเหลือง พระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าระดับไหน


    หมายเลข 11687
    4 ก.พ. 2567