ใครทำงานไม่หยุด
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้นะคะ กำลังทำงานอยู่หรือเปล่า ตอนนี้ตอบแล้วนะคะ ไม่ใช่ว่าทำงานตอน ๘ โมงเช้าแล้วเลิก ๔ โมงเย็น แต่เดี๋ยวนี้ทำงานอยู่หรือเปล่า แต่ก็ยังไม่รู้ค่ะ ใครทำ งานของเรารึเปล่า ทั้งหมดต้องลึก แม้แต่ แต่ละคำที่พูด ทิ้งไม่ได้ ต้องเข้าใจมั่นคงจริงๆ นะคะ งานของเราหรืองานของใคร ฟังมาเมื่อสักครู่นี้เองใช่ไหมคะ งานของใครล่ะ ก็ต้องงานของ จิตเจตสิก เพราะฉะนั้น พูด และในสิ่งที่กำลังมีด้วย แต่ แต่ละคำนี่ไม่ได้เข้าใจถึงความเป็นจิต และเจตสิก เพียงพอที่จะรู้ว่าไม่มีเรา เพราะฉะนั้น แต่ละคำเนี่ยนะคะ ที่เข้าใจขึ้นๆ เพื่อให้มีความรู้จริงๆ มั่นคงว่าไม่ใช่เราเลย แล้วทำยังไง จะไปละโลภะตรงนั้นตรงนี้ แต่ว่า เมื่อยังคงมีความไม่รู้อยู่ ก็ต้องเป็นเรา แม้แต่ขณะนี้ เราทำงานหรือเปล่า
อ.คำปั่น ธรรมทำงาน
ท่านอาจารย์ เรา ทำงานหรือเปล่า
อ.คำปั่น ไม่มีเราครับ
ท่านอาจารย์ จิตเจตสิก กำลังทำงาน แค่นี้ค่ะ เตือนไหม ว่าขณะนี้ ไม่มีเรา แต่ขณะนี้จิต เจตสิกกำลังทำงาน เดี๋ยวนี้ จิต เจตสิกทำงานอะไรคะ เดี๋ยวนี้เลยค่ะ จิต เจตสิกทำงานอะไรคะ ขณะที่เห็นทำงานแล้วค่ะ งานเห็น งานเห็น หนักไหม ค่ะ ทำไม่หยุด ใช่ไหมคะ ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ว่าไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้น ค่อยๆ เข้าใจความไม่ใช่เรา ค่อยๆ ละคลายความเป็นเรา ซึ่งคิดดูนะคะ นานเท่าไหร่ที่เป็นเรามาแล้ว ทุกขณะไป แล้วก็จะเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้น การฟังธรรมจึงต้องไตร่ตรอง คำธรรมดาง่ายๆ แต่ให้รู้ว่า เดี๋ยวนี้เองไม่ใช่เรา แต่จิต เจตสิตกำลังทำงานไม่หยุด ตั้งแต่เกิดจนตาย ใครทำงานอย่างนี้บ้าง ไม่หยุดตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่ขาดเลยสักขณะเดียว เห็น ก็คือ กำลังทำงานเห็น เห็นเป็นงานอย่างหนึ่งซึ่งต้องทำ ถ้าไม่ทำก็ไม่มีการเห็น ไม่มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น เพราะฉะนั้น ฟังธรรม และศึกษาว่าไม่มีเรา แต่มีสิ่งที่มีจริงๆ คือ ธรรม ซึ่งเป็นธาตุรู้ ได้แก่จิต และเจตสิก เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น การฟังที่ได้ฟังมาแล้วทั้งหมดชาติก่อนๆ ในสังสารวัฎ หรือชาตินี้ หรือชาติต่อไป ก็สามารถที่จะทำให้รู้ว่าขณะนั้นเป็นธรรมอะไร ไม่ใช่เรา แม้ขณะนั้นก็เป็นงาน งานของธรรมอะไรคะ ปัญญา เพิ่มไปอีก ว่าแต่ละสภาพธรรม ที่เป็นธาตุรู้ มีงานของตนๆ ที่จะต้องทำ แม้แต่ปัญญาก็เกิดเมื่อไหร่ คนอื่นทำไม่ได้เลย จะมาทำหน้าที่ของปัญญาไม่ได้เลย เพราะขณะนั้น กำลังเข้าใจ แต่พ้นจากขณะนั้นแล้ว เป็นขณะอื่นไม่ใช่ปัญญา ใครจะทำหน้าที่ของปัญญาก็ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ จึงรู้จริงๆ นะคะ ว่า ถ้าไม่มีความเข้าใจจริงๆ ซึ่งเป็นปัญญา ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ไม่มีการที่จะละความไม่รู้ แต่ละคำที่ได้ฟัง เพื่อเข้าใจลึกซึ้งขึ้น และลึกซึ้งที่สุดก็คือว่า เป็นสิ่งที่มีจริง ชั่วขณะที่มีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย สืบต่อปิดบัง เพราะขณะนั้น เป็นหน้าที่ของอวิชชา หน้าที่ของโมหะ ไม่ให้ทำได้ไหมคะ โมหะเกิดแล้วปิดบังแล้ว ก็ต้องตามหน้าที่ ที่ไม่รู้ และหลงเข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏผิดไปตลอดชาติ เพราะโมหะมีกิจที่จะเกิดขึ้น ปิดบังความจริง และหลง
เพราะฉะนั้น ก็เป็นหน้าที่ของธรรมแต่ละหนึ่งๆ ที่เราเรียนว่า ไม่ใช่เรา แค่พูดว่าไม่ใช่เราเนี่ย ไม่พอ ไม่ใช่เราแล้วเป็นอะไร แม้แต่งาน งานของใคร ของจิตหรือของเจตสิก ขณะใดก็ตามที่เป็นความไม่รู้ ขณะนั้น ใครจะไปทำหน้าที่แทนสภาพธรรมนั้นไม่ได้ เพราะเกิดขึ้นทำหน้าที่ไม่รู้ และขณะใดที่เป็นความเข้าใจ จะให้สภาพธรรมอื่น เกิดขึ้นทำหน้าที่นั้นก็ไม่ได้เลย แต่ปัญญามากไหม รู้เลยใช่ไหม ก็เป็นคนที่ตรง ตรงเป็นเจตสิกหรือเปล่า เห็นไหมคะ ทำหน้าที่ตรง ถ้าขณะนั้นไม่ตรง ก็เป็นหน้าที่ของอกุศลเจตสิก ไม่มีใครเลย เป็นแต่ธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจการงาน ใครจะไปแสวงหาปัญญาที่ไหน ก็หาไปเถอะ ไม่มีเจอ เพราะเป็นตัวตน แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทำให้สามารถเข้าใจถูกต้อง
เพราะฉะนั้น แสวงหาอะไร เราแสวงหามาแล้วในสังสารวัฎ แสวงหารูปแสวงหาเสียง แสวงหากลิ่น แสวงหารส แสวงหาโผฏฐัพพะ แสวงหาบุคคลต่างๆ สิ่งต่างๆ ที่เป็นที่พอใจ แต่ว่า ยังไม่ได้แสวงหาสิ่งที่ประเสริฐกว่านั้น คือ ปัญญา เพราะฉะนั้น การแสวงหาสิ่งอื่น มีปัจจัยพอที่จะเกิดขึ้น จากความไม่รู้ ก็เป็นปัจจัยให้สภาพธรรมอื่นๆ เนี่ย เกิดขึ้นได้ แต่ปัญญาไม่มีทางอื่นที่จะไปแสวงหาที่ไหนเลยทั้งสิ้น นอกจากฟังแต่ละคำ ด้วยการไตร่ตรอง และเคารพ ถ้าเชื่อฟังคนอื่น เขาไม่ได้ให้ความจริงอะไรเลย ตรงกันข้ามกับคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ถ้าความเข้าใจถูกต้อง ไม่เกิดขึ้นนะคะ อวิชชาความไม่รู้ และความยึดถือ ความติดข้องพอใจ ก็นำไปสู่หนทางที่ผิดได้ตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้ ต้องเป็นผู้ที่มั่นคงจริงๆ ว่าปัญญา สามารถเข้าใจสิ่งที่มี และไม่เคยรู้ ไม่เคยเข้าใจ แต่ต้องด้วยการเข้าใจขึ้นจากการฟังพระธรรม คือ ความจริงของสิ่งที่มีทุกคำ