โทษของบรรพชิต
ท่านอาจารย์ คฤหัสยังละอาย แล้วบรรชิตหรือภิกษุ ต้องยิ่งละอายกว่าคฤหัสถ์ เห็นโทษที่จะไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยบัญญัติ เพราะเหตุว่าสำหรับชาวโลก ก็รู้ว่าสิ่งใดที่ควรติเตียน ชาวโลกจะสรรเสริญคนที่ฆ่าไหม เอาของๆ คนอื่นมาเป็นของตน ทุจริตต่างๆ ชาวโลกจะสรรเสริญไหม
อ.วิชัย ไม่
ท่านอาจารย์ ก็ติเตียนใช่ไหมคะ นั่นคือชาวโลกยังละอายในทุจริต แต่เมื่อถึงกับสละเพศฤหัสถ์ สู่เพศบรรพชิต ความละอายต้องยิ่งมากกว่า แม้แต่เพียงยังไม่ได้กระทำเลย แค่ใจคิด ยังไม่กระทำสำเร็จ แค่เดินไปที่จะกระทำอกุศลเท่าไหร่ โทษเท่าไหร่ นี่ความละเอียดอย่างยิ่งนะคะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระบิดา สำหรับบรรชิตโดยเฉพาะ แม้คฤหัสถ์ซึ่งประพฤติปฏิบัติตามพระองค์ พระองค์ก็ทรงเป็นพระบิดา ให้เห็นว่าอะไรเป็นประโยชน์ ให้เห็นว่าอะไรเป็นโทษ ซึ่งเห็นความน่าอัศจรรย์อย่างยิ่งของปัญญา ซึ่งมีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะปัญญาจะถือเอาแต่สิ่งที่ควร ที่เป็นประโยชน์ และจะทิ้งสิ่งที่ไม่ควร เพราะฉะนั้น การที่เป็นภิกษุก็คือว่า เห็นคุณอย่างยิ่งของปัญญา สามารถที่จะศึกษาธรรม ขัดเกลากิเลสตั้งแต่ลืมตาจนหลับตา เพราะความละอาย จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เป็นเพศที่ประกาศความเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่าความละอายของภิกษุต้องมากกว่าคฤหัสถ์ จึงสมควร เพราะเหตุว่า ภิกษุใดก็ตามที่ประพฤติปฏิบัติ ขัดเกลากิเลสตามพระวินัยบัญญัติ ไม่มีใครรู้ว่าเป็นพระอรหันต์หรือไม่ใช่ ไม่มีทางที่จะแสดงออกทางกาย ทางวาจา ให้เป็นที่สงสัยเลย เพราะฉะนั้น ถ้าภิกษุใดก็ตามไม่ละอาย ภิกษุนั้นก็เป็นยังไงคะ
อ.วิชัย เป็นอลัชชีครับ คือ เป็นผู้ที่ไม่เห็นโทษ และก็มีการกระทำ ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าเป็นโทษครับ เรียกว่า อลัชชี
ท่านอาจารย์ แล้วพระอลัชชี มีปัญญาไหม
อ.คำปั่น ไม่มีครับ ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ถ้ามีปัญญาละอายต่างหาก ที่เอาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ทิ้งสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ทั้งหมด แต่เพราะไม่มีปัญญา จึงไม่ละอายสามารถที่จะล่วงสิกขาบทได้ ใครก็ตามที่เป็นภิกษุล่วงสิกขาบท แม้เพียงเล็กน้อยก็ต้องเพราะความไม่ละอาย เพราะฉะนั้น เป็นโทษแค่ไหน แค่ประโยคเดียวใช่ไหม ละราคะ
อ.วิชัย ละราคะ หนทางที่จะละราคะ หรือโลภะเนี่ยด้วยมรรคมีองค์ ๘ ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ จะเป็นความละเอียดอย่างไรครับท่านอาจารย์ ดูเหมือนกับเป็นคำ แต่ว่าความเข้าใจ เป็นอย่างไรครับ
ท่านอาจารย์ ได้ยินชื่อทุกคำ เข้าใจระดับไหน รู้หรือยังว่าขณะนี้เป็นสิ่งที่ควรละ ความไม่รู้ ความติดข้อง ละเองได้ไหม หาทางกันสิ แล้วทำยังไง ใครจะละโลภะ อยากละ แต่หารู้ไม่ อยากละ แล้วก็หาทางด้วยโลภะ เพราะไม่รู้ทุกคนขณะนี้ รู้ว่ามีความติดข้องไปหมดเลย ตั้งแต่เกิด ปฏิเสธไม่ได้เลย และก็มีหลายระดับด้วย ระดับสมโลภะธรรมดาๆ จนถึงวิสมโลภะ ต่างจากปกติ แล้ว เกินปกติแล้ว ถึงทำทุจริตต่างๆ เห็นโทษแล้ว ละสิ่ ละยังไง เห็นไหมคะ
อ.วิชัย ละไม่ได้
ท่านอาจารย์ นี้คือ ผู้ที่ไม่มีหนทาง เพราะหาทางไม่ได้ แต่ถ้ารู้ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร พึ่งปัญญาของพระองค์ ที่ทรงแสดงความจริงทุกอย่างที่ถูกปกปิดไว้นะคะ โดยละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง เพราะฉะนั้น หนทางก็คือว่า ชาวโลกประพฤติเป็นไป ด้วยความไม่รู้ จะยังไงก็ตามทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม แต่ว่าความไม่รู้นั้นสามารถที่จะหมดสิ้นไปได้ ต่อเมื่อฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วไตร่ตรองด้วยความเคารพ ที่จะเห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้น อริยมรรคมีองค์ ๘ พูดง่ายมาก ในหนังสือมี พระไตรปิฎกมี พูดกันไป แต่พิจารณาตามความเป็นจริงว่า คือ อะไร ไม่รู้ค่ะ ได้แต่พูด เอ่ยชื่อได้ครบ แล้วไง ก็ไม่รู้ นั่นหรือค่ะ ที่จะละกิเลส เพราะฉะนั้น การละกิเลสต้องละด้วยปัญญา ความเข้าใจ ความจริงที่กำลังมีในขณะนี้นะคะ ไตร่ตรองที่ละคำ จึงสามารถที่จะรู้ว่า นั่นคือ หนทางที่จะไปสู่การดับกิเลสเป็นอริยมรรค
เพราะฉะนั้น ถ้าใครจะบวช ถามได้เลยค่ะ ทำไมบวช ถ้าอยากบวชก็ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย เพราะไม่เข้าใจธรรม ใช่ไหม ไม่รู้ว่าบวช คือ อะไร ต่างกับคฤหัสถ์อย่างไร เพราะฉะนั้น เมื่อไม่รู้ก็เพียงอยาก และบวชแล้วก็ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้เข้าใจธรรม แล้วจะประพฤติตามพระวินัยบัญญัติได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่พระภิกษุในพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้น การบวชไม่ใช่สำหรับทุกคน แต่ผู้ที่มีอัธยาศัยใหญ่ ท่านรัฐปาละ แม้มารดาจะห้าม มีบุตรชายคนเดียว มีเงินทองมากมายมหาศาล ต้านทานการสะสมมาที่จะละราคะไหม เพื่อที่จะละโลภะ นั้นคืออัธยาศัยใหญ่
เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ฟังด้วยความเข้าใจที่มั่นคง ว่าภิกษุต้องเป็นผู้ที่มีอัธยาศัยใหญ่ ได้เคยฟังธรรม มาแล้วในอดีตชาติมากมาย จนสามารถที่จะรู้ว่า การขัดเกลากิเลสเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชาติหนึ่งที่เกิดมา จะมากจะน้อยสักเท่าไหร่ก็ตามแต่ ขอให้ได้มีการรู้ความจริง ที่จะค่อยๆ ละความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ก็แล้วแต่เพศคฤหัสถ์ และบรรพชิต เพราะฉะนั้น คฤหัสถ์ที่ไม่ได้สะสมมาที่จะประพฤติขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ก็เป็นคฤหัสถ์ รู้แจ้งอริยสัจธรรม ถึงความเป็นพระอรหันต์เมื่อไหร่ เพศที่ควรแก่พระอรหันต์ ก็คือ เป็นภิกษุ