เป็นไปตามธัมมะ
ท่านอาจารย์ คิดไม่ใช่แข็ง แต่ว่าต่างกันยังไง คิดเป็นธรรมหรือเปล่า
ผู้ฟัง เป็น
ท่านอาจารย์ คิดเป็นธาตุหรือเปล่า ทุกอย่างที่เป็นธรรม เป็นธาตุทั้งหมดแข็งเป็นธรรม แข็งเป็นธาตุ คิดเป็นธรรม คิดเป็นธาตุ แตกต่างกับแข็งใช่ไหมคะ ธรรมเนี่ยคะหลากหลายมาก แต่ว่าต่างกันเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ ธรรมอย่างหนึ่งไม่รู้อะไรเลย หวานเนี่ยไม่รู้ แข็งก็ไม่รู้ เค็มก็ไม่รู้ เสียงก็ไม่รู้ กลิ่นก็ไม่รู้ แต่ว่ามีสภาพที่เห็น รู้ว่าอะไรอยู่ข้างหน้า มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เห็นเนี่ยค่ะรู้ ไม่ใช่ไม่รู้อย่างแข็ง เปรี้ยว หวาน เค็ม เป็นสภาพรู้
เพราะฉะนั้น ธรรมต่างกันเป็นสองอย่าง คือ อย่างหนึ่งไม่รู้อะไรเลย ภูเขารู้อะไรไหมคะ ภูเขามีไหมคะ เป็นธาตุ เป็นแข็ง รู้อะไรมั้ยคะ ไม่รู้ แต่ใครรู้ภูเขาใครเห็น ธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นสภาพรู้ โลกทั้งหมดกี่โลกก็ตาม จะต่างกัน คือว่ามีธรรมที่เกิดขึ้นจริงๆ แต่ไม่รู้อะไร กับมีอีกอย่างหนึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงเป็นธรรม เกิดขึ้นต้องรู้ จริงไหมคะ เสียงเนี่ยโต๊ะไม่รู้หรอก ไม่ได้ยินหรอก แต่ว่าขณะใดก็ตามที่เสียงปรากฏ หมายความว่า มีธรรมที่กำลังได้ยินเสียง เราใช้คำว่าธรรม เพราะได้ยินมีจริงๆ แต่ได้ยินไม่ใช่เสียง เริ่มลำบากหรือเปล่าคะ หรือว่ามีจริงตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วทำไมไม่รู้ล่ะ ทำไมไม่เข้าใจล่ะ นี่คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงให้รู้ความจริงว่าแต่ละหนึ่ง อย่าได้เสียเวลาไปลำบากที่จะต้องทุกข์ร้อนเลย เพราะเขาเกิดขึ้นเป็นไป ยับยั้งไม่ได้ต้องเป็นอย่างนี้ ก็จะค่อยๆ คลายความทุกข์ที่ยึดมั่นว่าเป็นเรา และเวลาที่ประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจก็โศกเศร้าเสียใจ เวลาที่พลัดพรากจากสิ่งที่พอใจก็ร้องห่มร้องไห้เสียใจ แต่ถ้ามีความเข้าใจว่าเป็นธรรมดา อะไรล่ะที่ไม่หมด เสียงเมื่อกี้นี้ยังหมดเลย แล้วอย่างอื่นจะไม่หมดหรือ เมื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นสิ่งนั้นก็ต้องหมดไปเป็นธรรมดา ไม่ใช่ว่าให้เราได้รู้จริงๆ อย่างนี้ทันที แต่เริ่มฟัง เริ่มไตร่ตรอง เริ่มรู้ประโยชน์ว่าดีกว่าไม่รู้หรือไม่ เพราะว่า ถ้าไม่รู้ คนฆ่าตัวตายทำไมคะ ทำไมเขาฆ่าตัวตาย ถ้าสุขสบายดีจะฆ่าตัวตายไหมคะ ก็ไม่ฆ่าตัวตาย แต่ทุกข์จนทนมีชีวิตอย่างนั้นไม่ได้ แต่เขาหารู้ไม่ว่า ถึงแม้ว่าจะจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่มีชีวิตอย่างนี้ก็ต้องมีชีวิตอย่างอื่น เหมือนอย่างที่ก่อนจะเกิดมาในโลกนี้ ก็มีชีวิตอย่างอื่น เป็นใครที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วพอเกิดมาก็สุขทุกข์อย่างนี้แหละ จะมากจะน้อยยังไงก็ต้องจากไป แล้วก็ต้องเกิดอีก ทุกอย่างชั่วคราว ถ้าได้ยินคำอีกมั่นคงจริงๆ สามารถที่จะหมดกิเลส ถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ แต่ว่าความไม่รู้มีมาก ความติดข้องมีมาก
เพราะฉะนั้น ก็หลงไม่รู้ และหลงติดข้องต่อไป จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำของพระองค์พูดถึงชีวิตทุกชีวิตทั้งหมดมีจริงๆ รวมทั้งทุกสิ่งทุกอย่างด้วย ซึ่งถ้าไม่รู้ ก็คือว่า ทำไมเกิดมาเป็นเรา ทำไมไม่เกิดอย่างโน้นอย่างนี้บ้างแต่เกิดเป็นเรา เพราะต้องเป็นเรา เพราะเหตุที่ได้ทำไว้จะต้องเป็นอย่างนี้ก็ต้องเป็นอย่างนี้ ถ้าใส่เกลือในขนมมากเค็มไหมคะ เพราะฉะนั้น ให้หวานได้ไหม ไม่ได้ เพราะฉะนั้น การกรทำใดๆ มีทั้งดี และชั่ว ผลก็ต้องเป็นตามเหตุ ถ้าเหตุไม่ดี จะนำมาซึ่งผลดีไม่ได้ และถ้าผลดีจะนำมาซึ่งเหตุที่ไม่ดีก็ไม่ได้ แต่เราไม่เคยคิดเลยว่าเราเกิดมา ทำไมถึงต้องบางวันเป็นสุข บางวันเจ็บไข้ได้ป่วย บางวันก็มีเรื่องที่สนุกสนานรื่นเริง แต่บางวันก็เป็นทุกร้อนบังคับได้ไหม ไม่ได้ เพราะว่า ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุที่ได้กระทำแล้ว แต่ว่าเราไม่รู้เลยค่ะ ว่าวันนี้เราทำไม่ดี ผลจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และผลนั้นคือ อะไร เราพูดง่ายๆ แค่คำสองคำว่า กรรม คือ การกระทำ ถ้าทำดีก็ได้ดีนำมาซึ่งผลดี ถ้าทำชั่วก็นำมาซึ่งผลชั่ว ติดคุกได้ใช่ไหมคะ บาดเจ็บล้มหายอะไรก็ได้ทั้งหมด แต่ว่าเหตุต้องมี ก็ควรที่จะได้เข้าใจต่อไป ว่าเหตุไม่ดีที่ทำ ผล คือ อะไร จากโลกนี้ไปแล้วเกิดไม่ดี ทำไมมีนก มีหนู มีแมว มีช้าง มีจิ้งจก มีตุ๊กแก ทำไมไม่มีแต่คน เนื่องจากที่ได้กระทำไว้ สุนัขบางตัวก็รูปร่างน่ารักมากนะคะ แม้เกิดเป็นสุนัข กรรมยังทำให้วิจิตรต่างกันไป นี่แสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีใครสามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลงเหตุที่ได้กระทำแล้วได้เลย แม้เกิดเป็นมนุษย์รูปร่างหน้าตาก็ต่างกัน แม้เป็นพี่น้องกันก็ยังต่างกันได้
เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างนะคะ ต้องเป็นไปตามเหตุ เป็นปัจจัยที่จะให้เกิดขึ้น เมื่อเกิดดี ดีตลอดชีวิตหรือเปล่า ไม่เลย เพราะว่าเราเกิดมาเราไม่ได้ทำดีตลอดชีวิต ที่ทำไม่ดีก็มี ให้ทราบว่าการเกิดเป็นผลของกรรม แล้วยังมีอะไรอีกหละ ที่เป็นผลของกรรมจะได้จำไว้ จะได้รู้ไว้ เมื่อปรารถนาสิ่งที่ดีก็ต้องทำเหตุที่ดี เกิดแล้วต้องเห็น ถูกไหมคะ เกิดแล้วต้องได้ยิน เกิดแล้วต้องได้กลิ่น เกิดแล้วต้องลิ้มรส เกิดแล้วต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นผลของกรรมเลือกได้ไหม เพราะมีธาตุรู้ ขณะที่กำลังเห็น เห็นสิ่งที่ดีก็เป็นสิ่งที่สวยงาม เพชรนิลจินดาดอกไม้ต่างๆ ถ้าเห็นไม่ดีก็หลายอย่าง ใช่ไหมคะ นองเลือด หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่เป็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจ อุบัติเหตุกลางถนน ใครอยากเห็น แต่เห็น น่าดูไหมคะ ไม่น่าดู ไม่เห็นดีกว่า แต่ต้องเห็น เพราะว่า ขณะใดก็ตาม เห็นสิ่งที่ดีเป็นผลของกรรมดีที่ได้ทำแล้ว ได้ยินเสียงที่ดี ที่ไพเราะเพราะ ก็เป็นผลของกรรมที่ได้ทำแล้ว ได้กลิ่นที่ดี ตอนนี้ไม่โทษใครแล้วนะคะ กรรมที่ได้ทำแล้ว ทำให้ขณะนั้นเกิดจิตที่ได้กลิ่นที่ไม่ดี รสอาหารมีตั้งมากมาย บางวันก็อร่อยบางวันก็ไม่อร่อย บางคนชอบเผ็ด บางคนชอบอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าทำไมรสต่างกัน เพราะจิตเกิดขึ้นลิ้มรสที่ต่าง จะให้รสไม่ต่างกันไม่ได้ จะให้รสเหมือนกันทุกรสไม่ได้เลย ขณะที่ลิ้มรส ยังต้องเป็นผลของกรรม ว่าขณะนั้นลิ้มรสอะไรๆ เคยลิ้มรสขมๆ มากๆ มั้ยคะ ทำไมคนอื่นเขาไม่ได้ลิ้มรสนั่นละ ทำไมเป็นเรา ทำไมต้องเป็นเราอย่างที่ว่าเนี่ย ก็เพราะเหตุว่า กรรมใดทำไว้ ที่จะทำให้ขณะนั้นไม่ให้ผลทางตา ไม่ให้ผลทางหู แต่ให้ผลทางลิ้นก็ได้ มีตาสำหรับรับผลของกรรม มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย สำหรับรับผลของกรรม ต่อไปนี้ก็พอได้รับผลที่ดีก็รู้เลยว่า เพราะกรรมที่ได้ทำมา แต่กรรมไหนก็ไม่รู้ ชาติไหนก็ไม่รู้ แต่มีเหตุดีแน่ๆ ที่ได้ทำมา เหตุดีที่ทำต้องให้ผลดี แต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เหตุไม่ดีเวลาได้รับผลไม่ดี ก็เพราะเคยทำมาชาติไหนไม่รู้ กรรมอะไรก็ไม่รู้แต่ครึ่งหนึ่ง ของชีวิตเกิดมาเป็นผลของกรรม อีกครึ่งหนึ่ง เป็นกรรม เพราะยังมีกิเลสที่จะทำให้เกิดผลต่อไป นี้คือ ธรรม ไม่ใช่เรา ต้องไม่ลืม สิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย แค่ไม่กี่คำแต่ขอให้เข้าใจจริงๆ