ศึกษาเพื่อให้เข้าใจความจริงว่า เป็นธรรม เป็นธาตุ
คุณอุไรวรรณ มีคำถามจากอินเทอร์เน็ตว่า เราจะใช้อะไรเป็นตัวตัดสินว่า เมื่อไรจะเป็นจักขุวิญญาณกุศลวิบาก หรือจักขุวิญญาณอกุศลวิบาก
สุ. ใครมีปัญญาระดับที่จะตัดสินได้ ก็อาศัยกรรมที่จะทำให้รู้ว่า เมื่อเป็นกาลที่กุศลวิบาก คือ ผลของกุศลจะเกิด เมื่อมีรูปที่น่าพอใจ ปัจจัย คือ กรรมที่ได้กระทำแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้รูปนั้นกระทบกับจักขุปสาท ไปเรียกร้องรูปดีๆ มาให้กระทบตาเราได้ไหม เพราะไม่ใช่กาลที่กุศลวิบาก หรือกุศลกรรมจะให้ผล โดยการเห็น
การให้ผลของกรรม จะทางตาเห็นก็ได้ ทางหูได้ยินก็ได้ ทางจมูกได้กลิ่นก็ได้ ทางลิ้นลิ้มรสก็ได้ ทางกายกระทบสัมผัสก็ได้ เลือกได้ไหมว่า ขอให้กรรมให้ผลทางนี้เถิด อย่าให้ผลทางอื่นเลย เอากุศลวิบากทางตา ไม่เอาทางอื่น หรือเอากุศลวิบากทางลิ้น ไม่เอาทางอื่น เลือกไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น “วิปาก” หมายถึงความสุกงอม พร้อมที่กรรมนั้นจะให้ผล ทางไหน ใครมีอำนาจไปบังคับ ไปขอร้องกรรมที่จะเปลี่ยนไปให้ผลทางโน้นทางนี้ได้ ด้วยเหตุนี้ถ้ายังไม่ถึงกาลที่กุศลวิบากจะเกิดขึ้น กรรมยังไม่ได้เป็นปัจจัยให้วิบากทางตาเกิด แม้รูปดีๆ น่าพอใจจะมี เกิดแล้วดับไป ๑๗ ขณะ ไม่กระทบจักขุปสาท เพราะเหตุว่าไม่ถึงกาลที่กรรมนั้นจะให้ผล
นี่คือหลักที่เราสามารถจะตอบได้ว่า ถ้าเป็นเหตุที่ดี คือ กุศลกรรม ก็เป็นปัจจัยให้กุศลวิบากทางตาเห็นสิ่งที่ดี ทางหูได้ยินเสียงที่น่าพอใจ ทางจมูกได้กลิ่น ทางลิ้นลิ้มรส กายกระทบสัมผัสสิ่งที่น่าพอใจ แต่ไม่มีใครสามารถที่จะชี้ขาดว่า รูปซึ่งมีอายุ ๑๗ ขณะที่กำลังกระทบตา หรือหู ต่างๆ เหล่านี้ เป็นอิฏฐารมณ์ หรืออนิฏฐารมณ์ เพราะเหตุว่าเกิดหลังจากที่ปัญจทวาราวัชชนจิตดับ ยังไม่รู้เลยว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร แต่ก็มีปัจจัยพร้อมที่จะทำให้จิตที่เกิดดับสืบต่อเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แล้วแต่ว่าแม้อารมณ์ที่ดีเกิดแล้วปรากฏ โลภมูลจิตก็ติดข้อง เป็นอกุศลต่อไป
นี่ก็เป็นสิ่งที่ทุกอย่าง เราศึกษาเพื่อให้เข้าใจความจริงว่า เป็นธรรม เป็นธาตุ ซึ่งใครก็เปลี่ยนแปลงบังคับบัญชาไม่ได้ เพื่อละความเป็นเรา ไม่ใช่เรียนเพื่อให้เราได้มีอะไรดีๆ มีกุศลวิบากดีๆ ได้มีกุศลจิตมากๆ ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่เรียนเพื่อให้เราดี หรือให้สิ่งที่ดีนั้นเป็นของเรา แต่เรียนเพื่อให้รู้ว่า ไม่มีเรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด ทุกอย่างเป็นธาตุ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แต่ไม่ใช่ให้เราสามารถบอกได้ว่า ขณะนี้เป็นกุศลวิบาก หรือว่าเป็นอกุศลวิบาก ผู้ที่จะบอกได้ก็มีพระองค์เดียว คือ พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ก็ทรงแสดงเหตุว่า เมื่อเป็นผลของกุศลกรรมเมื่อไร จิตเห็นที่ดีก็เกิดขึ้น แต่ไม่ได้ทรงแสดงทุกรูปที่เกิดว่า รูปนี้เป็นอิฏฐารมณ์ รูปนั้นเป็นอนิฏฐารมณ์ แต่ก็ใช้การวินิจฉัยของคนส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่สามารถชี้ขาดได้ว่า ขณะนั้นเป็นความพอใจของคนส่วนใหญ่ในอนิฏฐารมณ์ก็ได้
ที่มา ...