ศรัทธาเป็นคำที่คุ้นหู แต่เข้าใจตรงตามความเป็นจริงหรือไม่


    คำที่คุ้นหู ก็คือ ศรัทธา เพราะว่าคนไทยใช้คำนี้บ่อย แต่ว่าเวลาที่ใช้คำภาษาบาลี ไม่ได้เข้าใจตามความหมาย ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของสภาพธรรมนั้นๆ เพราะฉะนั้น ศรัทธา ก็คือ เจตสิก ที่เป็นโสภณ ๑ ในโสภณทั้งหมด ๒๕ ประเภท เพราะฉะนั้นเราพูดว่าเขามีศรัทธา แต่ต้องดูว่าเขาศรัทธาอะไร ถ้าศรัทธานั้นผิด หมายความว่าเขาไม่เข้าใจคำว่า ศรัทธา แต่เป็นความเห็นที่ผิด มีความเชื่อที่ผิด แล้วก็มีความมั่นคงขึ้น ถ้าศรัทธามากๆ ในความเห็นผิด ก็แสดงว่าความเห็นผิดนั้น ต้องมากขึ้นตามกำลังของศรัทธา ที่เราเห็นกันอยู่ มีตั้งแต่เห็นผิดเล็กๆ น้อยๆ เขาก็กล่าวว่า เขามีศรัทธา แต่ความจริงไม่ใช่ศรัทธา พอมีความเห็นผิดมากขึ้น เขาก็บอก เขาศรัทธามากๆ แต่ก็ยังคงเป็นในความเห็นผิด ซึ่งไม่ใช่ศรัทธาจริงๆ

    เพราะฉะนั้นศรัทธาเจตสิก เป็นสภาพที่ผ่องใส สะอาด เพราะขณะนั้น ไม่มีอกุศลเจตสิกเกิดร่วมด้วยเลย เป็นปัจจัยให้เจตสิกทั้งหลายที่เกิดร่วมด้วย ใสสะอาด ผ่องใส เพราะเหตุว่าไม่มีลักษณะของสภาพของอกุศลใดๆ เกิดร่วมด้วย

    เพราะฉะนั้น ศรัทธาไม่ใช่ปัญญา ปัญญาเป็นความเห็นที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นบางครั้ง บางขณะมีศรัทธาที่จะให้ทาน แต่ว่าไม่ได้มีความรู้ ความเข้าใจในขณะนั้นว่า ไม่ใช่เรา หรือว่าเป็นอะไร เพราะฉะนั้นศรัทธาก็คือศรัทธา ปัญญาก็คือปัญญา เพราะฉะนั้นบางครั้งศรัทธาเกิด โดยไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย แต่ว่าขณะใดก็ตามที่ปัญญาเกิด ต้องมีศรัทธาเกิดร่วมด้วย นี่ก็เป็นความต่างกันของสภาพธรรมที่เป็นศรัทธา กับสภาพธรรมที่เป็นปัญญา

    แต่เพียงคำพูดทั่วๆ ไป ของคนที่ไม่ได้ศึกษาธรรม พูดผิด เข้าใจผิด แต่ถ้าศึกษาธรรมแล้ว ก็จะรู้ได้ว่าคำพูดใดถูก เช่น มีศรัทธาที่จะฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นความเห็นที่ถูกต้อง รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร และคำแต่ละคำเป็นประโยชน์อย่างไร เป็นประโยชน์ คือ ทำให้สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนั้น ตามความเป็นจริงได้ถูกต้อง

    เพราะฉะนั้นในขณะนั้นมีศรัทธา จิตที่สะอาด ไม่มีโลภะ ที่จะไปต้องการผลใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีโทสะ ไม่มีความเห็นผิด แต่รู้ประโยชน์ที่ว่า คำใดที่สามารถจะทำให้เข้าใจถูกต้อง เพราะฉะนั้นในขณะที่จิตผ่องใสในขณะนั้น เป็นลักษณะของศรัทธา แต่เวลาที่มีความเห็นที่ถูกต้องเกิดร่วมด้วย ความเห็นถูกก็เป็นลักษณะของปัญญา หรือความเห็นถูก

    เพราะฉะนั้นคนไทยใช้ศรัทธากับอกุศลด้วย และกุศลด้วย แต่ตามความเป็นจริง ขณะใดที่เป็นอกุศล จิตไม่สะอาด ไม่ผ่องใส ไม่ใช่ศรัทธา เพราะฉะนั้นศรัทธาจึงเป็นธรรมฝ่ายกุศล ซึ่งก็ยากที่จะรู้ได้ เพราะเหตุว่า เจตสิกแต่ละหนึ่ง ก็ละเอียดมาก แล้วก็แตกต่างกันตามสภาพของเจตสิกนั้นๆ


    หมายเลข 11750
    25 ส.ค. 2567