มั่นคงในความเป็นธัมมะ
อ.วิชัย มีธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ขณะนี้ ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ไม่ได้ปรากฏการเกิดดับของธรรม แสดงว่าความรู้แม้ในขั้นการฟัง ที่จะเข้าใจโดยความเป็นธรรม ก็ยังไม่มั่นคงเลย
ท่านอาจารย์ ถ้ามั่นคงจริงๆ ก็คือว่า ไม่มีเรา แต่เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งยังไม่รู้ว่า ไม่ใช่เราอย่างไร อย่างเห็นนี้ไม่ใช่เราไง ก็เหมือนเราเห็น ได้ยินก็เหมือนเราได้ยิน เพราะฉะนั้น จะไม่ใช่เราได้อย่างไร ก็ต้องฟังจนกระทั่งเห็นเข้าใจถูกต้องว่า ไม่ใช่เราแน่นอน เมื่อกี้นี้ เห็นดับแล้วไปไหน อยู่ที่ไหน ไปตามกลับมาสิ ไม่มีเลยในสังสารวัฎ และเราจะอยู่ที่ไหน ทุกขณะนี้หมดไปๆ ไม่ได้กลับมาอีกเลย แล้วเราอยู่ที่ไหน
อ.วิชัย เราก็ไม่มีครับ
ท่านอาจารย์ ไม่มีแน่นอน ต้องเข้าใจก่อน ว่าไม่มีจริงๆ แต่ยังไม่ได้ประจักษ์แจ้ง ถึงการเกิดขึ้น และดับไป แล้วไม่กลับมาอีก ลองคิดดูถึงความจริง ได้ยินยังไม่เกิด แล้วก็เกิดได้ยิน แล้วก็หมดไปไม่กลับมาอีกเลย ถ้าเข้าใจอย่างนี้ถูกต้อง ความจริงอย่างนี้ต้องประจักษ์ได้ มีความเข้าใจมั่นคงว่า เมื่อสิ่งนี้เป็นจริงอย่างนี้ ก็สามารถจะปรากฏความจริงอย่างนี้ แต่กับปัญญา ซึ่งเข้าใจขึ้น และก็ละคลายความเป็นเรา ค่อยๆ หมดไปค่อยๆ มั่นคงขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะเดี๋ยวนี้นะคะ แข็งปรากฏเหมือนก่อนที่จะได้ฟังธรรม แต่ก่อนที่ได้ฟังธรรม ไม่มีความเข้าใจในความจริงของแข็งเลย เข้าใจว่าเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นคน เป็นดอกไม้ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่พอฟังธรรมแล้วเนี่ย วันนี้เนี่ยกระทบแข็ง เข้าใจแข็งในขณะที่แข็งปรากฏ หรือยัง เห็นไหมคะ ต้องเป็นคนตรงๆ ยังไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้น ก็จะต้องเข้าใจในขณะที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดกำลังปรากฎ จะได้รู้ความจริงว่า แต่ก่อนเนี่ย แม้แต่แข็งก็ไม่เคยสนใจ แต่ปัญญามาจากไหนล่ะ ที่จะเข้าใจว่า แข็งเป็นเพียงแข็ง และปัญญานั้นยังสามารถที่จะแทงตลอดในการเกิดดับของแข็งด้วย
เพราะฉะนั้น ปัญญาก็มีหลายขั้น จากปริยัติที่ใช้คำว่าฟังพระพุทธพจน์ รอบรู้ในพระพุทธพจน์ หมายความว่า มีความเข้าใจที่มั่นคงเป็นสัจจญาณ ไม่เปลี่ยนเลย เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น แข็งเกิดดับ แต่เดี๋ยวนี้ปัญญายังไม่ประจักษ์แจ้งการเกิดดับ เพราะเหตุว่า กำลังเห็นก็ไม่เคยคิดถึงลย ในสภาพที่เป็นธาตุรู้ แล้วจะไปเกิดดับได้ยังไง เพราะไม่มีเราเกิดดับ ใช่ไหมคะ แต่ธาตุรู้เกิดขึ้น และดับไป แค่เห็นแล้วก็ดับ แค่ได้ยินแล้วก็ดับ ทุกอย่างสั้นมากแสนสั้น
เพราะฉะนั้น เกิดดับสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ ความไม่รู้ความจริงก็มากสุดที่จะประมาณได้เพียงนั้น ถ้าเข้าใจถูกต้องแล้ว เข้าใจคำว่าบารมี ไม่งั้นไม่มีบารมีเลย ก็ไปนั่งที่สำนักปฎิบัติ ไปยืน ไปเดิน แล้วก็คิดว่าจะเข้าใจธรรมได้ แล้วบารมีอยู่ที่ไหน บารมีมากมายหลายอย่าง ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี ฟังแล้วเข้าใจ หรือเปล่า หรือว่าจำชื่อได้ละ สัจจบารมี สัจจะก็คือ ความตรง และก็ความจริง เพราะฉะนั้น ขณะนี้สภาพธรรมเกิดโดยไม่มีใครไปทำ นี่คือตรง นี่คือจริง เพราะฉะนั้น บารมี ก็คือว่า เมื่อสามารถที่จะเข้าใจขึ้นๆ ๆ ก็จะประจักษ์แจ้งความจริง แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจขึ้น สัจจบารมีก็เพียงจำ แล้วก็ไปทำอย่างอื่น อธิษฐานบารมี ก็คือ ความมั่นคง ใครจะพูดยังไงใครจะชักชวนให้ไปทำยังไง ก็รู้ว่านั่นไม่ใช่หนทาง ที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี เพราะสิ่งที่กำลังมี ฟังแล้วเข้าใจแล้ว มั่นคงแล้ว ว่าเกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่ก็สามารถจะค่อยๆ เข้าใจความต่าง อย่างเห็นนี่ไม่ใช่ได้ยิน แค่นี้กว่าจะมั่นคง เมื่อเห็นเกิด เมื่อได้ยินเกิด แต่นี่เราไม่เคยคิดถึงเลยใช่ไหม ตั้งแต่เช้ามา เห็นเท่าไหร่ ได้ยินเท่าไหร่ ไม่ได้คิดถึงความจริงของแต่ละหนึ่ง แสดงว่ายังไม่มั่นคงแต่ถ้ามั่นคงแล้ว ขณะที่สิ่งนั้นกำลังปรากฏ การเข้าใจจากการฟังความรู้ความเข้าใจทั้งหมด สามารถเข้าใจในขณะที่สิ่งนั้นปรากฏอย่างนั้น ที่ใช้คำว่าตามรู้ ถ้าจะแปลโดยคำ ใช่ไหม อนุปัสสนา หรือว่าอนุสสติก็ตาม แต่สติปัฎฐาน แต่ละคำนี้เป็นคำที่ละเอียดอย่างยิ่ง เพียงคำเดียว สติเข้าใจ หรือยัง ปัฏฐานเข้าใจ หรือยัง ถ้ายังไม่เข้าใจจริงๆ ก็บอกว่าไปทำสติก็ผิดทันที