ไม่งามระดับไหน


        ต้องไม่ลืมนะคะ ธรรมเป็นเรื่องละเอียดมาก เมื่อสักครู่ฟังเรื่องอะไร ผ่านไปแล้วเข้าใจหมดไหม เพราะฉะนั้น ต้องไตร่ตรอง แล้วก็ สิ่งที่มีจริงๆ ก็ สามารถที่จะฟังแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เลือด กระดูก ปฏิกูล เดี๋ยวนี้ปฏิกูลหรือเปล่า ไม่เห็นมีอะไร ใช่ไหม แต่ฟันสวยไหม ถ้าเลือดไหลออกจากฟัน สวยไหม ไปหาหมอฟัน อาจจะมีเวลาที่เลือดไหลออกจากฟัน แล้วถ้าบางกาล เลือดกลบปากหมดเลย งามไหม เอาให้ทั่วตัวเลย มีเวลาที่เลือดจะออกมาทุกส่วนของร่างกาย ใช่ไหม ปฏิกูลไหม แต่อย่างนั้น ก็ไม่ได้สามารถที่จะดับกิเลสได้ เพราะว่า ไม่ชอบสิ่งที่ไม่งาม แล้วสิ่งที่งามล่ะ ถ้าพิจารณาจริงๆ งามเมื่อเป็นอยู่ แต่ถ้าเปลี่ยนภาวะที่งาม จะงามไม่ได้เลย ตาสวย ควักตาออกมา สวยไหม เอาไปเลย ไม่มีใครเอา ใช่ไหม

        เพราะฉะนั้น ทุกส่วน ต่อเมื่อไหร่ที่ประชุมควบคุมกันอยู่ ไม่เปลี่ยนภาวะที่ดูเหมือนกับงาม ก็จะไม่เห็นความไม่งามเลย ด้วยเหตุนี้ แม้จะมีการเห็นสิ่งที่ปฏิกูล บางครั้งบางคราว แต่ให้ทราบว่า เราใช่ไหมที่เห็น เราใช่ไหม ที่ไม่ชอบเพราะฉะนั้น ก็เพียงคงเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่ไม่งามเลย แต่ว่ายังไม่เข้าใจว่าเป็นธรรม ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น และขณะนั้นก็เพียงเกิดขึ้นและดับไป เลือดก็สีแดง สีแดงอื่นทำไมชอบ แต่พออยู่ในปาก กลบปากหรือว่าท่วมตัว ก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่ชอบ

        เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า การที่จะเข้าใจธรรม ต้องเข้าใจละเอียดถึงที่สุดในความไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็จะมีอยู่ สองอย่าง ชอบกับไม่ชอบ แต่ก็ยังเป็นเรา เป็นเขา หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้าเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่การประจักษ์แจ้งความจริง เป็นแต่เพียงชั่วคราว ที่จะทำให้จิตเนี่ยสงบระงับ เพราะเห็นความจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว คือ แต่ละหนึ่งคนแต่ละหนึ่งชีวิต เกิดมาแล้วก็เป็นอย่างนี้ จะมีสภาพอย่างนั้นในลักษณะนั้น วันหนึ่งวันใดก็ได้ ใครจะรู้

        เพราะฉะนั้น เวลานี้ยังไม่ปรากฏ แต่ถึงเวลาปรากฏ ก็แค่ไม่น่าดูปฏิกูล แต่ไม่รู้ความจริง เพราะฉะนั้น สีแดงเป็นอะไร เป็นเลือด หรือ เป็นดอกกุหลาบหรือจะเป็นอะไร ก็แล้วแต่ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ต้องถึงการว่า ไม่งามเพราะไม่ใช่สิ่งที่เคยงาม เพราะว่า ความจริงของแต่ละหนึ่งเนี่ย ก็เป็นแต่เพียงลักษณะจริงๆ ที่สามารถจะปรากฎได้แต่ละทาง จนกว่าความเข้าใจเนี่ยจะมั่นคงขึ้น ด้วยเหตุนี้ เคยเห็นสิ่งที่รวมกัน เข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ความเข้าใจถูกต้อง ว่าแท้ที่จริง ถ้าแยกแต่ละส่วนออกมาแล้ว ขาไปทาง แขนไปทาง ตาไปทาง ผมไปทาง งามไหม ก็ไม่มีอะไรงาม แต่ว่าเมื่อยังไม่เป็นอย่างนั้น ก็ยังไม่ได้เข้าใจในความไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะแขนไม่งาม ก็ยังเป็นแขน ทุกอย่างหมดที่อยู่ข้างนอก แตกย่อยเป็นชิ้นๆ แต่ถ้าจะไม่งามจริงๆ ต้องถึงปัญญาอีกระดับหนึ่ง เพราะว่าแม้จะรู้ความจริง ว่าสภาพธรรมขณะนี้ไม่เหลือ เกิดแล้วดับแล้ว แต่การสืบต่อปรากฏความเป็นนิมิต ยังเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีใครบ้าง ที่เห็นว่าเป็นสิ่งเดียวตลอดเวลา ไม่รวมกัน เป็นไปไม่ได้ เพราะว่า ความเป็นไปของสภาพธรรม ก็คือว่า เกิดดับสืบต่อ จนปรากฏเป็นนิมิต ทั้งหมดเลย อยู่ในโลกของสิ่งที่เกิดดับและปกปิดการเกิดดับ ให้เห็นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แม้แต่รูปทุกรูป ไม่ว่ารูปอะไรก็ตาม หาได้ประจักษ์ความจริงของแต่ละรูปไม่ เห็นสี แต่ว่าแข็งไม่เห็น กลิ่นไม่เห็น รสไม่เห็น

        เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่งๆ เป็นสิ่งที่ ถ้าไม่รวมกัน ก็มีลักษณะเฉพาะของตนซึ่งเกิดจริงๆ ปรากฏว่ามีจริงๆ แต่ก็ดับไปหมดแล้วจริงๆ ไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้น กว่าเข้าใจความจริงอย่างนี้ ปัญญาระดับไหน เป็นปกติระดับไหน ละความเป็นเราในชีวิตประจำวันด้วย ยังไม่มีความคิดอย่างนี้บ้างเลยในวันนึง แล้วจะไปถึงการละคลายได้ยังไง แต่ว่าถ้าการฟังนะคะ ฟังเเล้วก็ เราไม่รู้หรอกว่า สะสมความเข้าใจ บังคับบัญชาไม่ได้มากน้อยยังไง ลึกซึ้งแค่ไหนก็ แล้วแต่ ขณะนั้นจะเป็นอย่างไร จนเป็นปัจจัยที่วันหนึ่ง ก็มีการเกิดระลึกได้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ เห็นไหม ในชีวิตประจำวัน ซึ่งไม่มีโอกาสจะคิดถึงเลย แต่การฟังธรรม ก็ยังมีโอกาสที่ปรากฏ ที่จะรู้ ให้ระลึกได้ว่า แท้ที่จริง ก็คือ ไม่มีอะไร แล้วปัญญาเนี่ยค่ะ ก็จะค่อยๆ รู้ค่อยๆ เข้าใจ ในแต่ละสิ่ง ตามความเป็นจริง ความดีเพิ่มขึ้นเมื่อไหร่ เพราะปัญญาที่เข้าใจ จะไม่มีการเกี่ยงงอน เขาทำ เราไม่ได้ทำ เราก็ไม่ต้องไปทำอะไร ให้มันสะอาดขึ้นหรืออะไร แม้แต่อย่างนี้ มากมายหลายอย่าง เป็นที่เกิดของอกุศล แต่ไม่เห็น หนาแน่นมาก แต่ว่าเมื่อมีความเข้าใจ ความเข้าใจไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ก็จะไปประจักษ์แจ้งการเกิดดับของสภาพธรรม หรือนามรูปปริเฉทะญาณ หรือญาณต่างๆ ได้เอง แต่จะปรากฏในชีวิต ที่ปัญญาเริ่มทำกิจหน้าที่ เพราะแม้จะยังไม่ประจักษ์แจ้ง ในลักษณะที่ไม่ใช่เรา แต่ก็รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว

        เพราะฉะนั้น ก็จะค่อยๆ เว้นสิ่งที่ไม่ดีละเอียดขึ้น เพราะฉะนั้น ฟังธรรม เพื่อขัดเกลากิเลส และก็ที่เป็นภัยอย่างยิ่ง ที่นำมาซึ่งกิเลสทั้งปวง ก็คือ ความไม่รู้ เพราะฉะนั้น เห็นได้เลย ทั้งวันกว่าจะได้ฟังธรรม ฟังแล้วเท่าไหร่ วันนึงก็ฟังหลายชั่วโมงค่อยๆ สะสมปัญญา ซึ่งไม่ปรากฏ แต่ว่าชีวิตประจำวันที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป ก็เป็นเพราะความเข้าใจนั่นแหละ ไม่ใช่เรา จนกว่าจะเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งไม่ใช่เรา

        เพราะฉะนั้น เลือดท่วมตัว น่าเกลียด ปฏิกูล ยังเป็นเลือด ใช่ไหม แต่ว่าถ้าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น ต่างกันแล้วใช่ไหม ไม่ว่าจะงามหรือไม่งามเป็นเลือด หรือเป็นฟัน หรือเป็นแขน หรือเป็นอะไรก็ตามแต่ ก็คือ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ปัญญาก็ต้องค่อยๆ เข้าใจ และก็ไม่ได้มีเราไปพยายามขวนขวายจะทำอะไร ผิดทันที ด้วยความเป็นเรา ยิ่งเพิ่มการที่จะไม่รู้ความจริง

        เพราะฉะนั้น กว่าจะเข้าใจจริงๆ ว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา มั่นคง ก็คือ ชีวิตปกติธรรมดา พอมีปัจจัยที่จะรู้ระดับไหน เป็นความคิดความเข้าใจเกิดขึ้น ดับแล้วหมดแล้ว ระดับคิด แต่ถ้ายิ่งกว่านั้น มากกว่านั้น ก็ปรากฏตามความเป็นจริง ว่าขณะนั้น ไม่ใช่เราแต่เป็นปัญญาระดับไหน ก็เป็นสิ่งที่จะต้องอบรมด้วยความเข้าใจว่า พระธรรมที่ได้ทรงแสดง เป็นความจริงถึงที่สุด แต่กว่าจะรู้ความจริงนั้นได้ ก็ต้องมีบารมี คือ การที่จะเห็นคุณของกุศล ซึ่งเกิดเพิ่มขึ้นเมื่อความไม่รู้ค่อยๆ ละคลาย


    หมายเลข 11777
    13 ธ.ค. 2566