เป็นเราที่คิดที่จำ


        ธรรม ก็เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ลองฟัง ท่านที่กล่าวว่า ไม่เห็นพูดเรื่องอะไรเลย แค่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีความอยากไหม เห็นไหม อยากฟังเรื่องอื่นก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ไม่มีทางเลย ที่จะละความเป็นตัวตนได้ ด้วยความอยากและความไม่รู้ เพราะว่า ถ้าเป็นธรรม ทุกอย่างเสมอกันไหม ไม่ว่าจะเป็นอะไร จะได้ยิน ก็คือ เสียง ได้ยินเรื่องอะไร ก็คือ เสียง ถ้าสภาพได้ยินก็ไม่ใช่เรา ก็เป็นธาตุรู้ ถ้าเป็นอย่างนี้ จะเดือดร้อนจะกังวลไหม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เพราะว่าปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริงว่า ขณะนั้นเป็นธรรม แต่ว่าให้เห็นความติดแน่นของโลภะ อย่างคนที่อยู่ที่ชายทะเล ขณะนั้นคลื่นซัดฝั่ง แล้ว หลังจากนั้นล่ะ เห็นมั้ยคะ ก็เราใช่มั้ย ที่คิดที่จำทั้งหมดเลย ไม่มีทางที่จะ สามารถเป็นความเข้าใจที่มั่นคง ถ้าไม่ใช่เป็นการที่เข้าใจ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น อบรมไป ไม่ใช่เราทำอะไรเลยทั้งสิ้น แต่มีความเข้าใจมั่นคงว่าปัญญา สามารถที่จะรู้ได้ เพราะแม้แต่เพียงสภาพธรรม ที่สติสัมปชัญญะระลึก โดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ทั้งวันใช่ไหม ไม่ใช่นานใช่ไหม เพราะว่า ถ้าไม่ได้สะสมมา กว่าจะเกิด เกิดแล้วก็ไม่มาก เพราะว่า อกุศลมีมากกว่า เพราะฉะนั้น ขณะที่เป็นสติสัมปชัญญะ ที่เป็นสติปัฏฐาน ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ก็ต้องน้อยกว่าการที่ความไม่รู้ที่มีมาก

        เพราะฉะนั้น ขณะที่สภาพธรรมนั้นปรากฏ ปัญญาต้องพร้อมกับสติสัมปชัญญะ นี่เป็นอีกระดับหนึ่ง ไม่ใช่ขณะนี้กำลังเข้าใจ แต่เป็นเรา แต่รู้เรื่อง แต่ว่านั่นเป็นการรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนั้น พอสติสัมปชัญญะดับ โลภะมาแล้วทันทีเลย เพราะฉะนั้น ก็เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่า กว่าจะเป็นปกติของปัญญาที่มีกำลัง จึงสามารถที่จะไม่หวั่นไหว โลภะเกิดยังรู้ลักษณะของโลภะ เพราะว่า ถ้าไม่รู้ลักษณะของโลภะจะละโลภะได้อย่างไร นี่คือ ความละเอียดอย่างยิ่ง ไม่ใช่ว่าฟังเรื่องอริยสัจ ๔ แล้วก็รู้ว่ามีทุกข์ การเกิดดับต้องละความติดข้อง แต่ว่าปัญญาอยู่ไหน ไม่ใช่เราเลย ใครจะมาบอกให้ละ ก็คือว่า เขาไม่ได้แสดงเหตุที่สมควร ที่จะให้ละได้แต่จากการที่ผู้นั้น สะสมความเข้าใจที่มั่นคง ว่าธรรมละเอียดมาก สติสัมปชัญญะต้องต่างกับขณะที่กำลังฟังขั้นปริยัติ แต่ว่าการเกิดของสติสัมปชัญญะต้องโดยความเป็นอนัตตา ทุกอย่างต้องมั่นคงขึ้นในความเป็นอนัตตา และไม่มากเลยดับแล้ว อยากไหม แม้แต่ตกใจ เกิดเพราะอยากตกใจหรือเปล่า บางคนอยากตกใจ จะได้รู้ว่า ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย น่าตกใจมาก ภัยเห็นเป็นภัย เพราะความไม่เข้าใจ

        เพราะฉะนั้น สังขารขันธ์ก็ปรุงแต่งทุกอย่างที่จะลวง คนที่ไม่ได้สะสมปัญญา ที่สามารถ ที่จะเข้าถึงความละเอียดอย่างยิ่งว่า ต้องเป็นเรื่องละเพราะฉะนั้น ความตกใจ ถ้าปัญญามีกำลังรู้เลย สภาพธรรมอย่างหนึ่ง ไม่เช่นนั้น เราจะไปเลือกรู้ตอนไหน ว่าตกใจไม่ใช่เรา ก็ตกใจเกิดแล้ว ใช่ไหม แต่ปัญญาไม่มีกำลังพอ ที่จะรู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่เรา

        เพราะฉะนั้น เรื่องของธรรมได้ ไม่ใช่เรื่องคาดหวังใดๆ เลยทั้งสิ้น เพราะความเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น ก็ต้องมีความมั่นคงว่า ปัญญาสามารถที่จะเข้าใจละเอียดขึ้นๆ แต่ว่าไม่เร็วอย่างที่คิด เพราะเหตุว่า ต้องเป็นการพร้อมกับการละ เพื่อว่าขณะนั้น โลภะจะไม่เกิดขึ้นชักนำไปในที่อื่น


    หมายเลข 11779
    12 ธ.ค. 2566