จะเป็นโสดาบันหรือเข้าใจธรรม
ก็ต้องเป็นผู้ที่ไตร่ตรอง ด้วยความมั่นคง จะเป็นพระโสดาบัน หรือว่าจะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เรื่องความติดข้องไว้มากมายมหาศาล ซึ่งทุกคนก็พิสูจน์ได้ แต่ทรงแสดงโดยนัยยะของขันธ์ ๕ อุปทานขันธ์ ในรูปขันธ์ เดี๋ยวนี้ ที่กำลังปรากฏยังเป็นคลื่น แต่ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้นหรือเปล่า เห็นไหม นี่ก็คือแความต่างกัน เห็นคลื่น แล้วก็เห็นคลื่นซัดฝั่ง แล้วก็หมดไปๆ ๆ แต่ก็เป็นคลื่นที่ชัดฝัง เหมือนกับที่เราเห็นในเวลานี้ ทุกคนก็นั่งกันอยู่ตรงนี้ เป็นคนโน้นคนนี้ คลื่นซัดฝั่ง เขาก็ถ้าสมมุติว่าไปอยู่ชายทะเล ก็จะเห็นอีกอย่างหนึ่ง แต่เห็นไหม จากเห็นก็คิด เป็นคลื่นซัดฝั่ง
เพราะฉะนั้น ยังไม่ได้ปรากฏเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วจะละได้ยังไง เพราะฉะนั้น การที่ละจริงๆ ไม่ใช่เรา แต่ว่าเป็นความเข้าใจถูกที่ละเอียดมาก แล้วก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น และทั้งหมดเป็นเรื่องละ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่อยากจะรู้ หรืออยากจะเป็น และขณะนั้นก็ไม่ได้คิดถึงความจริงอะไรเลย เพียงแต่ว่าเหมือนกับว่าสิ่งนั้นไม่เที่ยง แล้วก็เป็นเรารู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระโสดาบัน แต่ก่อนจะเป็นพระโสดาบันเนี่ย ปัญญาระดับไหน เพราะเหตุว่า เราไม่ได้ติดเพียงเฉพาะในรูปขันธ์ เดี๋ยวนี้ก็มีความรู้สึก ความรู้สึกสำคัญมากเลยใช่ไหม ทุกคนแสวงหาความรู้สึก เดี๋ยวนี้รู้ไหม ว่าความรู้สึกนี่แหละเกิดปรากฏเป็นความรู้สึกอะไร ก็ยังไม่รู้เลย ใช่ไหม
เพราะฉะนั้น ขณะนี้ก็เป็นเราแน่นอน ที่กำลังรู้สึกอย่างนั้น รูปก็เป็นเรา ความรู้สึกก็เป็นเรา ขณะนี้จำได้หมดเลยห้องนี้ใครเป็นใคร ไม่รู้เลยว่า แท้ที่จริง จำเป็นจำ จำมีหน้าที่อย่างเดียว คือ เกิดขึ้นจำ จะเป็นอื่นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น จำก็เป็นเพียงสิ่งที่มีจริง ๑ ซึ่งต้องรู้ชัดเจน ว่าขณะนั้นที่กำลังจำ ไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้น ขันธ์ ๕ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ วิญญาณขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ ขณะนี้ก็กำลังคิด ปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา คิดโน่นคิดดี ดับหมดไม่รู้เลย ว่าขณะนั้นมีอะไรบ้าง มีเรื่องอะไรบ้าง แต่ละหนึ่งๆ ก็ไม่ได้ปรากฏ เพราะฉะนั้น จิตที่กำลังรู้ก็ยังไม่ได้ปรากฎ โดยความที่ไม่ใช่ใครเลยทั้งสิ้น แต่เป็นธาตุรู้ ซึ่งเกิดรู้ในขณะนั้น ชัดเจนแยกขาดจากสภาพธรรมอื่นทีละหนึ่งๆ ขั้นต้นก็ยังไม่มี แล้วก็จะไปประจักษ์การเกิดดับ เพียงแค่คิดนึก แล้วก็คิดว่าตนเองบรรลุถึงความเป็นพระโสดาบัน ก็เป็นการที่ไม่เข้าใจธรรมเลย คิดว่าแค่ฟัง แล้วก็เป็นกันเยอะแยะเลย มีลัทธิต่างๆ มากมาย ก็เข้าใจว่าตนเองได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่ผู้ที่สะสมความเห็นถูก เพื่อที่จะละกิเลส และความเห็นผิด ต้องรู้เลย ที่คิดอย่างนั้นกิเลสใช่ไหม แล้วก็อยาก ใช่หรือเปล่า อยากนี่ เนียนมากเลย ไม่มีใครจับได้เลย ปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะรู้ได้ว่า ขณะนั้นไม่ใช่หนทาง ขณะนั้นเป็นความติดข้อง เพราะว่า สภาพธรรมยังไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริงแต่ละหนึ่ง ให้เห็นความเป็นธรรม
เพราะฉะนั้น เพียงแต่ลักษณะที่เป็นธรรมยังไม่ได้ปรากฏเลย เพราะฉะนั้น จะไปถึงกับประจักษ์การเกิดดับ ก็เป็นไปไม่ได้ เพราะว่า หนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นหนทาง ละ ตลอดไม่มีการที่จะติดข้องเลย เพราะเหตุว่าอริยสัจ ๔ อริยสัจ ๒ คือ ละ สมุทัย ถ้าไม่มีปัญญาจะละได้ยังไง ความเป็นเราหนาแน่นมาก ความไม่รู้ ความต้องการ ความติดข้อง เดี๋ยวนี้มีทั้ง ๕ ขันธ์ ขันธ์ไหนปรากฏ ปรากฏกับอะไร ทุกวันนี้ไม่ใช่ไม่ปรากฏ รูปก็ปรากฏ ปรากฎกับความไม่รู้ ปรากฏกับการที่เคยยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นคนนั้นคนนี้เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ ซึ่งถ้าเป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่อัตตาหนึ่งอัตตาใด ต้องมีลักษณะเฉพาะแต่ละหนึ่ง จากการที่รวมกันก็ต้องแยกออก จึงจะปรากฏว่าหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งที่จะเป็นดอกไม้ หรือเป็นโต๊ะ หรือเป็นอะไรได้เลย เช่น แข็ง เดี๋ยวนี้ก็มีแข็ง และขณะนั้นระลึกตรงแข็งบ้างไหม ยืนอยู่ที่ชายหาด เห็นคลื่นแล้วก็คิด แล้วก็นึกถึงความไม่เที่ยง แต่สภาพธรรมก็ไม่ได้ปรากฏ ในแต่ละหนึ่งที่ปรากฏความเป็นธรรมเลย
เพราะฉะนั้น การฟังรู้ว่า ทุกคำของสัมมาสัมพุทธเจ้า มาจากการที่ทรงบำเพ็ญพระบารมี จึงได้ทรงตรัสรู้ สิ่งซึ่งต้องฟังด้วยดี ด้วยความเคารพ เพราะเหตุว่า ถ้ามีความต้องการ ความเป็นตัวตนก็จะนำไปสู่ความเห็นผิด ซึ่งยากที่จะละได้
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เป็นผู้ที่มั่นคงในการ ละ และในการที่จะรู้ว่า ที่จะละได้ เพื่อความรู้จริงๆ ตามลำดับขั้น ถ้าไม่เข้าใจว่าอย่างนั้น ก็หลงเข้าใจว่านั่นเป็นหนทาง แต่ว่าถามสิคะ ว่าเดี๋ยวนี้เป็นอะไร จะตอบไหมว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ และเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏไม่ใช่ธาตุที่กำลังเห็น เพราะฉะนั้น ธาตุรู้ก็เป็นอย่างหนึ่ง แล้วก็สิ่งที่ปรากฏก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง ขณะนั้น ไม่มีอย่างอื่นเลยทั้งสิ้น นอกจากแต่ละหนึ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าไม่ใช่ปัญญาที่สามารถที่จะรู้ว่า ที่เราเข้าใจว่าเป็นโลก เต็มไปด้วยสิ่งต่างๆ ทั้งคน ทั้งต้นไม้ ใบหญ้าต่างๆ ความจริงหามีไม่ เพราะเหตุว่า มีเฉพาะสิ่งที่เกิดปรากฏ เพราะฉะนั้น จะต่างกับเดี๋ยวนี้ที่เต็มไปด้วยทุกสิ่งทุกอย่างไหม เพราะว่าขณะนี้ ปรากฏมากมายหลายอย่างพร้อมๆ กัน แต่ปัญญารู้ทีละหนึ่ง ยังไม่ถึงขณะนั้นตราบใด ก็เท่ากับว่าสภาพธรรมที่เป็นธรรมนั้นๆ ยังไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง ในเบื้องต้น ในขั้นต้น ยังต้องมีความเข้าใจ ที่จะ ละ ความไม่รู้อีกมาก
เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องละค่ะ ใครจะไปเป็นพระโสดาบัน แต่ไม่รู้อะไรก็แล้วแต่อัธยาศัย ก็คงไม่รู้ต่อไป และก็มีความคิดว่าเป็นพระโสดาบัน แต่ไม่สำคัญเลยชื่ออะไร แต่ความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นไหม ขณะนี้ฟังล่ะ รู้ล่ะ เข้าใจล่ะจากการฟัง แต่ว่าสภาพธรรมก็ไม่ได้ปรากฏยิ่งกว่านี้ ซึ่งเป็นผลมาจากความสมบูรณ์ของการฟัง ซึ่งรอบรู้จนกระทั่งสามารถที่จะให้สติสัมปชัญญะ เริ่มเข้าใจลักษณะที่กำลังปรากฏ เพราะเวลานี้ แข็งก็ปรากฏ ความเข้าใจอยู่ไหน เห็นก็ปรากฏ ความเข้าใจอยู่ไหน ทุกอย่างมีเหมือนเดิม ความเข้าใจอยู่ไหน ถ้าไม่คิดถึงความเข้าใจเลย แล้วความเข้าใจนั้น ก็สามารถที่จะรู้ความจริงได้ยังไง
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรา เพราะเข้าใจถูกต้อง เพราะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ทีละเล็กทีละน้อย เป็นผู้ที่รู้หนทางจริงๆ ไม่ใช่เป็นผู้ที่อยากเป็นพระโสดาบัน แล้วก็คิดว่าเพียงแค่คิด ไม่มีอะไรที่จะปรากฏให้เห็นความเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่เราเลย