เกิดแล้วเป็นเรา
ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่พ้นจาก เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสแล้วก็คิดนึกถึง แต่สิ่งที่ได้เห็นแล้วได้ยินแล้วได้กลิ่นลิ้มรสนะคะ ทั้งวัน ทั้งคืนทั้งเดือน ทั้งปี จนจากโลกนี้ไป ก็ไม่พ้นจากสิ่งที่มีในชีวิตประจำวัน แต่ว่าไม่รู้ความจริงเลย ว่าทำไมเกิดมาอยู่ในโลกที่ต้องมีสิ่งเหล่านี้ปรากฏให้เห็น และก็ชื่นชมมากเลย เวลาที่สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่น่าพอใจ แต่ว่าเวลาที่เป็นสิ่งที่ไม่อยากจะเห็น ไม่อยากจะดู ไม่อยากจะฟัง ก็เกิดความทุกข์ ไม่ชอบ แล้วทำไมเป็นอย่างนี้ ใครบังคับบัญชาได้ แล้วก็จากโลกนี้ไป โดยที่ไม่รู้ความจริง ว่าสิ่งที่เห็นแต่ละวันหมดแล้ว ไม่เหลือเลย เช่น เมื่อวานนี้ ไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เลย หรือว่าแม้แต่ เมื่อสักครู่นี้เอง เห็นเมื่อสักครู่นี้ และก็มีได้ยินแล้วก็มีเห็น
เพราะฉะนั้น เห็นที่เกิดก่อนได้ยิน ไม่ใช่เห็นที่เกิดหลังจากที่ได้ยิน แสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเลย แสนสั้นชั่วคราว แต่ไม่เคยมีใครบอกให้รู้ว่า นี่แหล่ะ คำที่เราได้ยินบ่อยๆ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อนิจจัง คือ ไม่มีอะไรที่เกิดแล้วจะทรงอยู่ตั้งอยู่ตลอดไป ทุกสิ่งทุกอย่างหมดไป เกิดมาแล้วค่อยๆ โตขึ้น ไม่ว่าจะมีของตั้งแต่เป็นเด็ก เดี๋ยวนี้ของนั้นอยู่ไหน ของ ของเราตอนเป็นเด็ก ของเล่นต่างๆ เดี๋ยวนี้อยู่ไหน ไม่มีการที่จะคิดถึงเลย แต่ละอย่าง แต่ละอย่าง หมดไป สิ้นไป
เพราะฉะนั้น ที่หมดจริงๆ ก็คือว่า เมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว สิ่งที่เคยเป็นของเราทั้งหมด รวมทั้งตัวเรา ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ไม่สามารถที่จะติดตามไปได้เลย แล้วก็เป็นความจริงอย่างนี้ แล้วก็ต้องเกิดอีก เหมือนกับที่เราได้เกิดมาแล้ว และก็ต้องเห็นอีก ได้ยินอีก เรื่อยไป ไม่สิ้นสุดในสังสารวัฏ
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีความเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏเลย ก็จะเป็นอย่างนี้ตลอดไป ไม่ทราบว่า เบื่อบ้างหรือยัง หรือว่ายังพอใจที่จะมีสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งมีแล้วก็หมดไป มีแล้วก็หมดไป ยับยั้งไม่ได้ เดี๋ยวสุข สั้นมาก ทางไหน ทางตา ทางหูเกิด และทางตาหายไปไหน ทางหูดับไปแล้ว ทางจมูกอาจจะมีกลิ่นมากระทบ และก็หมดไปทุกขณะ อนิจจัง หมายความว่า ไม่เคยตั้งมั่นคงอยู่ได้นานเลย แต่ว่าเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าที่เราคิดมาก
เพราะฉะนั้น การที่เราไม่ได้เคยฟังธรรม จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าฟังจากคนอื่น คำอื่น ก็ไม่ได้กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้ละเอียดชัดเจน สิ่งที่เกิดมีชั่วคราวแล้วก็ดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลยเราอยู่ไหนก่อนเกิด มีเราไหม ไม่มีแน่ๆ ใช่ไหม แต่เกิดแล้วกลายเป็นเรา ทั้งๆ ที่สิ่งนั้น ก็เกิดมาได้ยังไงก็ไม่รู้ แต่ก่อนเกิดไม่มีแน่นอน แต่พอเกิดแล้ว มีแล้ว เป็นเราแล้ว เป็นเรามาเรื่อยๆ จนกว่าจะจากโลกนี้ไป แล้วก็หมดความเป็นเรา ไม่เหลือเลย แล้วก็ตั้งต้นใหม่อีก เกิดอีก เหมือนตอนเกิดมา เป็นเรา แล้วก็มีชีวิตอยู่ทุกวันไป เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ โดยไม่รู้เลย ว่าใครจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ วันไหน เวลาไหน เมื่อมีเหตุที่จะต้องเกิดขึ้นเป็นไป ต้องเป็น ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ เหมือนได้ยินเดี๋ยวนี้ได้ยินแล้ว ใครจะไม่ให้ได้ยินบ้าง เห็นเดี๋ยวนี้ ก็กำลังเห็น ใครจะไม่ให้เห็นบ้าง
เพราะฉะนั้น ธรรม คือ สิ่งที่มีจริงทุกอย่างตั้งแต่เกิดจนตาย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มี ละเอียดเกินกว่าที่ใครจะคิดหวัง คาดคะเนเอาเองได้ เพราะอาศัยพระปัญญาคุณ ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี ที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม สิ่งที่ปรากฏ ความจริงของสิ่งนั้น คือ อะไร
พระองค์ทรงแสดงไว้ เพื่อที่จะให้คนที่เห็นประโยชน์ว่าเกิดมาแล้ว ก่อนจะจากโลกนี้ไปสมควรอย่างยิ่ง ที่จะเข้าใจสิ่งที่มี ดีกว่าเกิดมาสุขทุกข์ชั่วคราวลาภ ยศ สรรเสริญ เดี๋ยวมี เดี๋ยวหมด แล้วก็จากโลกนี้ไป เอาอะไรไปไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ไม่มีอะไรนอกจากว่า สิ่งที่กำลังปรากฏเข้าใจว่ามี แต่แล้วก็ไม่มี เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีแน่ๆ คือ ก่อนมีไม่มีอะไรเลย แล้วก็มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น จึงปรากฏว่ามี และสิ่งที่มีนั่นแหละก็ดับไป อนิจจัง ใครก็บังคับไม่ได้ที่จะให้ยั่งยืนต่อไป เพราะฉะนั้น ก็เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะฉะนั้น ก็ไม่ทราบว่า เห็นไหมว่าเราเกิดมา ถ้าเราได้มีความเข้าใจความจริงอย่างนี้ เราจะลดความเดือดร้อนใจลงไปมาก เพราะว่า รู้ว่า ไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งที่ยั่งยืน แม้แต่ที่ว่าเป็นเรา ก็ชั่วขณะที่เห็น เป็นเราเห็น พอได้ยิน เกิดขึ้นก็เป็นเราได้ยิน พอคิดเกิดขึ้น ก็เป็นเราคิด
เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ซึ่งเป็นอนัตตาไม่ใช่ของใครจริงๆ ชั่วคราว เกิดมีแล้วก็หมดไปเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ต้องเริ่มเข้าใจตั้งแต่สิ่งที่มีจริงเป็นธรรม ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี แต่เมื่อเกิดแล้ว ก็ไม่ยั่งยืนหมดสิ้นไป ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร
เพราะฉะนั้น ก็จะตั้งต้นเข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้ เกิดจึงมีแล้วก็หมดไป เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ธรรมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ๔๕ พรรษา เพราะฉะนั้น เราฟังไม่กี่คำใช่ไหม แต่ยังมีคำอีกมาก ซึ่งเมื่อได้ฟังแล้ว ก็จะทำให้เข้าใจมั่นคงยิ่งขึ้น ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราแล้วก็เป็นอนัตตาด้วย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร