งามความจริง
พระธรรมที่คุณคำปั่นกล่าวถึง งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด แค่นี้ใครจะเข้าใจได้ ถ้าไม่ศึกษา เพราะฉะนั้น แต่ละคำดูเหมือนจะธรรมดา แต่งาม คืออะไร ความจริง ความเท็จ ความลวง ความไม่รู้ทั้งหมด ไม่งาม ไม่ว่าใครจะพูดก็ตาม คนนั้นไม่งาม ที่พูดคำที่ไม่จริง แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำทั้งหมด งามทั้งหมดเลย ในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด งามเดี๋ยวนี้ คือ สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ได้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มี
เพราะฉะนั้น ความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้แหละไม่รู้ตราบใด ไม่งาม ใช่ไหมหรือว่าแสดงผิดๆ ถูกๆ ก็ไม่งาม แต่ว่าแสดงความจริงถึงที่สุดของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ งามเบื้องต้นให้รู้ว่าสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้คืออะไร ก่อนได้ฟังธรรมไม่มีใครรู้ เกิดมาแล้วก็เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก สุขทุกข์ ใครไม่เป็นอย่างนี้บ้าง เป็นอย่างนี้ทั้งหมดแต่ไม่งาม เพราะว่าไม่รู้ว่าความจริงคืออะไร แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริงซึ่งมีอยู่ทุกขณะ ไม่มีใครไปทำแต่ว่ามีปัจจัยที่เกิดขึ้นโดยเราก็ไม่รู้ไม่เคยคิดเลยว่า สิ่งต่างๆ เหล่านั้นมีได้อย่างไร เพราะเดี๋ยวนี้ เห็นแล้ว รู้ไหม ไม่รู้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ว่าเห็นมีจริง
เพราะฉะนั้น ฟังธรรมงามในเบื้องต้น รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงทุกอย่าง ซึ่งก่อนนั้นอยู่ในความมืดสนิท เป็นเราทุกขณะ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า สิ่งนี้ก่อนมีไม่มี ไม่มีแล้วเกิดขึ้นจึงมี เมื่อเกิดมีแล้วก็ดับไป ไม่กลับมาอีก จริงไหม เพราะฉะนั้น จริงนี้ งามในเบื้องต้น เพราะเหตุว่า ยังไม่ได้สามารถประจักษ์ความจริงแท้ถึงที่สุด ซึ่งเป็นท่ามกลาง และที่สุด
เพราะฉะนั้น แม้แต่คำที่ว่า ธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ก็ต้องมีความเข้าใจว่า เบื้องต้น คือสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ไม่เคยรู้มาก่อนแค่นี้ งามแค่ไหนเป็นความจริงซึ่งใครก็ ถ้าไม่ฟังก็ไม่มีการที่จะเข้าใจถูกต้องว่า สิ่งนี้ไม่มีใครทำให้เกิดขึ้นมาได้เลยแต่เกิดแล้วนี่ ทุกคนกำลังเห็นแล้วเกิดแล้วตามเหตุตามปัจจัย
เพราะฉะนั้น ทรงแสดงว่า สิ่งที่มีจริงนี่แหล่ะเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ใครจะไปทำให้เกิดเป็นไปไม่ได้เลย คนตาบอดใครจะไปทำให้เกิดสักเท่าไหร่ ไม่มีทางที่จะเป็นไปไม่ได้ ไม่ฟังธรรมแล้วก็จะให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ได้ยังไง เห็นไหม
เหตุผลทั้งหมด คือความจริงทั้งหมดที่ว่ามีผู้ที่ทรงตรัสรู้ทรงแสดง มีผู้ที่ได้ฟัง ไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจของตนเอง เป็นมรดกที่ล้ำค่า ใครจะให้ทรัพย์สินเงินทองสักเท่าไหร่ ก็หมดไปจะจากโลกนี้ไปได้ทุกขณะ เห็นอย่างนี้ก็ตายได้ ได้ยินอย่างนี้ก็ตายได้ เพราะฉะนั้น ทรัพย์สมบัติที่ว่ามีมากก็ไม่สามารถที่จะติดตามไปได้ แต่ความเข้าใจเริ่มต้น แม้เพียงเล็กน้อยก็จะทำให้ไม่เข้าใจผิดรู้ว่าความจริงมีอยู่ทุกขณะ และไม่ได้มีความเข้าใจเลย จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วต้องไตร่ตรองด้วย ไม่ใช่พระองค์จะนำพระปัญญาของพระองค์ไปให้ใครได้ แต่พระมหากรุณาที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีมา ประกอบด้วยพระญาณที่สามารถที่จะทำให้ทุกคำของพระองค์เปิดเผยความจริงให้คนเริ่มเข้าใจถูกต้อง ว่าความจริงแล้วไม่มี แล้วก็มี แล้วก็ดับเหมือนเดิม คือไม่มีแล้วมีทำไม และก็มีมานานแล้วด้วย แล้วก็จะเป็นอย่างนี้ต่อไป จากไม่มีก็มีแล้วก็ดับไปสืบต่อจนกระทั่งไม่ปรากฏเลย
เพราะฉะนั้น สัตว์โลกจึงไม่รู้ความจริงว่าสิ่งที่เกิดเป็นสิ่งที่มีจริงเกิดได้เมื่อมีเหตุปัจจัยเกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้น ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเข้าใจไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย นี่คืองามในเบื้องต้นแค่นี้ยังไม่หมดความงาม ใช่ไหม ต้องแสดงให้ละเอียดกว่านั้นอีก ว่าสิ่งที่มีเนี่ยคืออะไร ความจริงในขณะที่เห็นต้องมีสิ่งที่กำลังปรากฏอย่างนี้แหละ เห็นแล้วจะไม่มีสิ่งที่ถูกเห็นเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ถูกเห็นเป็นอย่างหนึ่ง และสิ่งที่เห็นก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกเห็นในขณะที่เพียงเห็น แต่เราไม่ได้เห็นตลอดไปใช่ไหม เห็นแล้วก็ดับแล้วหมดแล้วมีอย่างอื่นเกิดสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้จนไม่รู้ความจริงเลยว่า แท้ที่จริงแล้วแต่ละหนึ่งๆ ๆ เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้แล้วก็หมดไป บังคับบัญชาที่จะให้มีต่อไปก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้เริ่มรู้ความจริงว่าไม่มีเราแต่มีธรรม เพราะฉะนั้น ถ้ายังสงสัยว่าไม่มีเรา และมีอะไร สิ่งที่มี มีจริงๆ แต่สิ่งที่มีจริงเนี่ย ไม่ใช่ของใคร และก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครด้วย เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงจะเป็นเราอย่างที่เคยคิดว่า เราเห็น เราได้ยิน เราเกิด เราตาย เราสุข เราทุกข์ไม่ได้
เพราะฉะนั้น ทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงของธรรมโดยละเอียดยิ่งในเบื้องต้น เพื่อที่จะให้สามารถรู้จริงๆ เพราะได้เข้าใจแล้ว และปัญญาระดับที่จะเริ่มรู้จริงในแต่ละหนึ่งไม่ใช่เพียงแค่ฟัง ก็คือความงามในท่ามกลาง เพราะฉะนั้น ความงามในที่สุดก็คือสามารถประจักษ์แจ้งทุกคำที่ได้ยิน ถึงเวลาประจักษ์แจ้งเหมือนที่เคยฟังทุกอย่าง สภาพธรรมไม่มีแล้วก็เกิดแล้วก็ดับ
เพราะฉะนั้น ความไม่ใช่เราก็จะชัดเจน จนกระทั่งสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ดับกิเลสไม่เกิดอีกเลย หมายความว่า ไม่ว่าจะเกิดกี่ชาติหรือขณะไหนหลังจากที่ได้ดับกิเลสนั้นแล้ว กิเลสนั้นไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้เลย มิฉะนั้นแล้ว ก็ต้องเกิดถ้าปัญญาไม่ได้เข้าใจความจริงถูกต้อง เช่นเวลานี้ธรรมก็เกิดไปเรื่อยๆ เพราะว่า ความเข้าใจของเรายังไม่ถึงกาลที่จะดับกิเลส แต่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงดับกิเลสได้ทรงแสดงหนทางที่จะดับกิเลส
เพราะฉะนั้น ความเข้าใจที่เริ่มมีก็จะรู้ทางที่จะดับกิเลสว่า ไม่มีทางอื่นเลยนอกจากความเข้าใจ แต่ละครั้งที่เกิดขึ้นเป็นสมบัติที่มีค่า เพราะเหตุว่า สะสมความรู้ถูกความเข้าใจถูก โดยความเป็นอนัตตา แต่ถ้าโดยความเป็นอัตตา ก็ผิด
เพราะฉะนั้น ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ต้องไตร่ตรอง และตรงต่อความเป็นจริง จนกระทั่งมีความมั่นคงเป็นสัจจญาณไม่เป็นอย่างอื่นเลย เดี๋ยวนี้สภาพธรรมเกิดแล้วก็ดับแต่ละหนึ่งๆ ๆ แต่เพราะรวมกันโดยการเกิดดับสืบต่ออย่างเร็ว ปรากฏเป็นนิมิตรูปร่างสัณฐานต่างๆ ไม่ว่าจะทางตาเห็น ทางหูได้ยิน ทางจมูกได้กลิ่น ทางลิ้นลิ้มรส ทางกายรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ปรากฎโดยนิมิตของสิ่งที่มีขณะนี้ เห็นเกิดดับนับไม่ถ้วนแต่ปรากฎเป็นนิมิตว่าเห็น เป็นอย่างนี้ คิดนึกก็เกิดดับนับไม่ถ้วน แต่ปรากฏว่าคิดไม่ใช่เห็น แม้แต่แข็งที่กำลังปรากฏกับสภาพที่กำลังรู้แข็งก็เกิดดับนับไม่ถ้วน มิฉะนั้น จะมีความติดข้องไหมว่า เรากำลังกระทบสัมผัสอะไร สัมผัสสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นวัตถุไปแล้วเป็นรูปร่างสัณฐานไปแล้ว
เพราะฉะนั้น การฟังธรรม ฟังให้เข้าใจทีละคำ และก็มีความเข้าใจมั่นคงว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา จะนำไปสู่การที่ประจักษ์แจ้งความจริงของธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งถ้ารวมกันไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้ เพราะหลายอย่างรวมกัน และจะรู้ความจริงของอะไร แต่ถ้าปรากฏทีละหนึ่ง รู้รอบในสิ่งหนึ่งสิ่งเดียว เพราะปรากฏทีละหนึ่ง ก็ต้องเป็นความชัดเจนต่างกับขณะที่ฟังเดี๋ยวนี้ ว่าเห็นไม่ใช่ได้ยิน ยังห่างไกลกันมากกับการที่จะรู้รอบในเห็น หรือว่ารู้รอบในได้ยิน
เพราะฉะนั้น แต่ละคำเป็นคำที่ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงพระมหากรุณาแสดง มีใครบ้างที่จะเข้าใจอย่างนี้ได้ สัตว์โลกก็อยู่ในความมืดต่อไป เพราะฉะนั้น ผู้ที่เห็นคุณศึกษาทั้งพระธรรม และพระวินัย เพื่อที่จะได้รู้ว่าการขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตต่างกับคฤหัสถ์ แต่ว่าผู้ใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นสังฆรัตนะไม่ใช่โดยเพศที่เป็นภิกษุเท่านั้น แม้คฤหัสถ์หรือใครก็ตาม วัยไหนก็ตามที่รู้ความจริง ปัญญาที่รู้ความจริงนั่นแหล่ะเป็นสังฆรัตนะ ตอนนี้ก็ขั้นต้น งามในเบื้องต้น ซึ่งจะนำไปสู่งามในท่ามกลาง จนถึงงามในที่สุด