อภิธรรมเดี๋ยวนี้
เดี๋ยวนี้เป็นอภิธรรมหรือเปล่า ใช่ไหม ตัวจริงเลย เพราะฉะนั้น การที่เข้าใจอภิธรรมก็คือ รู้ว่าขณะนี้เป็นอะไร เช่นขณะที่กำลังเห็น มีจริงๆ เป็นธรรมแน่นอน จิตไม่ใช่เราเป็นทาสรู้ สภาพรู้ กำลังเรียนอภิธรรมหรือเปล่า แล้วจิตจะเกิดเองตามลำพังไม่ได้ ทุกอย่างที่เกิด ต้องมีเหตุปัจจัยเป็นอภิธรรมหรือเปล่า
เพราะฉะนั้น จิตเห็นหนึ่งขณะก็ต่างกับจิตคิดนึก เพราะฉะนั้น เจตสิกที่เกิดร่วมด้วย ก็ต้องต่างกัน นี่คือความเข้าใจจริงๆ ว่าเดี๋ยวนี้ ไม่มีใครบังคับบัญชาธรรมได้เลย ทุกอย่างเป็นธรรมลึกซึ้งอย่างยิ่งแต่ไม่เข้าใจ
เพราะฉะนั้น เมื่อไม่เข้าใจ และจะไปจำชื่อ จะมีประโยชน์ไหม แต่ในขณะที่เข้าใจ จำแล้ว เพราะฉะนั้น จิตทั้งหมดมี ๘๙ จริงตามที่ได้ยินได้ฟังแต่ผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์หรือปุถุชน หรือใครทั้งหมดทั้งปวง ไม่มีครบ เพราะเหตุว่า และเรามีฌานจิตไหม มีโลกุตตรจิตไหม เพราะฉะนั้น ก็ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ แม้แต่จะพูดเรื่องจิตต่างกัน
ที่เป็นเหตุ คือ กุศล และอกุศล จิตที่เกิดเป็นอกุศลเปลี่ยนเป็นกุศลไม่ได้ จิตที่เป็นกุศลก็จะให้เป็นอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้น ชาติ การเกิดของจิต จึงมี ๔ นี่คือเดี๋ยวนี้ใช่ไหม ให้รู้ว่าขณะนี้ที่กำลังเห็นเป็นจิตประเภทใด เพราะฉะนั้น ขณะเห็นไม่ใช่กุศล และอกุศล เพียงแค่ต้องเห็น เกิดมาแล้วถึงเวลาที่กรรมจะให้ผล ให้ผลทางไหน เกิดมาให้ผลแล้วเป็นคนนี้ ดับไปแล้ว แต่ผลของกรรม ที่จะต้องมีในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็คือว่า กรรมทำให้เกิดเห็น เห็นไหม เราเริ่มเข้าใจ ไม่มีใครทำเห็นให้เกิดขึ้นได้เลย สักขณะเดียว เห็นอะไรเมื่อไหร่ก็รู้นั่นแหละ ผลของกรรม เห็นสิ่งที่ดีเป็นผลของกุศลกรรม เห็นสิ่งที่ไม่น่าพอใจเป็นผลของอกุศลกรรม
เพราะฉะนั้น เมื่อกรรมมีทั้งกุศลกรรม และอกุศลกรรม กุศลกรรมก็ต้องให้ผลซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่าวิปากะ จิตที่เกิดขึ้น เป็นผลที่กรรมทำให้เกิดเป็นผลที่กรรมทำให้เกิดคือ เห็นเดี๋ยวนี้ จิตที่เกิด เป็นผลที่กรรมทำให้เกิดต้องเห็นขณะนั้นจะพูดว่ากุศลเฉยๆ ไม่ได้ ถ้าเห็นสิ่งที่ดีก็คือกุศลวิบาก ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่ดีก็ต้องเป็นอกุศลวิบาก คือเป็นผลที่อกุศลกรรมทำให้เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น ไม่มีใครทำแต่กัมมะปัจจัย สภาพเจตนาเจตสิกที่จงใจจะทำให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้นที่เป็นกุศลเจตนา หรืออกุศลเจตนาเป็นไปตามเจตนา เพราะฉะนั้น เจตนาที่ต้องการให้คนอื่นตายต้องการให้สิ้นชีวิตใช่ไหมเจตนาที่จะให้สิ้นชีวิต ก็เป็นผลของกรรมไม่ใช่ทำให้คนอื่น แต่ตามเจตนา ซึ่งได้เกิดแล้วกับคนนี้ เพราะฉะนั้น ผลก็ต้องเกิดกับคนนี้ ที่จะต้องเป็นผลของกรรมนั้นๆ
เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมเพื่อให้เข้าใจเหตุผลตามความเป็นจริงโดยไม่มีเราที่สำคัญที่สุด มีแต่ธรรม ซึ่งไม่ใช่เรา และธรรมก็ละเอียดมากแม้แต่เห็นก็เกิดไม่ได้ เห็นเป็นผลของกรรมมีเจตสติกเกิดร่วมด้วย ๗ ประเภท ทั้งจิต และเจตสิก นั้น กรรมเป็นปัจจัยให้เกิด สามารถที่จะทำให้เจตสิกทั้ง ๗ ที่เป็นวิบากเป็นผลไม่ใช่กุศล และอกุศล
เพราะฉะนั้น วิบากจิต และเจตสิกต้องเกิดขึ้นเป็นผลของกรรม โดยจิตเห็นซึ่งเป็นวิบาก ต้องเกิดขึ้นเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่พอใจหรือไม่น่าพอใจ เจตสิกที่เป็นวิบากเกิดขึ้นทำกิจการงานของตน ของตน ฐานะโดยเป็นวิบากที่จะต้องเป็นปัจจัยให้จิตนั้นเกิดขึ้นเป็นไป ไม่ใช่เป็นกุศล และอกุศล
เพราะเหตุว่า กุศล และอกุศลเกิดจากกิเลส แต่เวลาที่บอกว่าวิปากะหรือจิตที่เป็นผลของกรรม ต้องมีกรรมเท่านั้นที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น เจตสิกก็เป็นวิบาก กรรมทำให้เจตสิกนั้นเกิดพร้อมจิตนั้น ในขณะนั้น และทำกิจของตน ของตน เพราะฉะนั้น ทั้งหมด คือให้เข้าใจชัดเจนในแต่ละคำ
เพราะฉะนั้น จิตที่เกิดโดยชาติ คือ เกิดเป็นอะไร เป็นกุศล ๑ เป็นอกุศล ๑ แล้วก็เป็นวิบาก คือเป็นผลของกุศล และอกุศล แต่จิตของพระอรหันต์ไม่มี กุศล และอกุศลอีกต่อไป เพราะฉะนั้น สิ่งใดใด ที่กระทำทั้งหมดตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งการบิณฑบาตรหรือว่าสนทนาธรรมหรืออะไรทั้งหมด ก็คือ กิริยาจิตซึ่งไม่เป็นกุศล และอกุศล เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่าจิตทั้งหมดไม่ว่าจะเกิดที่ไหนภพไหน ภูมิไหน ต้องเป็นหนึ่งในสี่คือเกิดเป็นกุศลหรือเกิดเป็นอกุศลหรือเกิดเป็นวิบากหรือเกิดเป็นกริยา เพื่อให้มีความชัดเจนว่าไม่ใช่เราเลย ทรงแสดงโดยละเอียดอย่างยิ่ง ทุกขณะ ว่าจิตนั้นเป็นอะไร
เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นอย่างนั้นก็จึงไม่ใช่ นี่คือพระอภิธรรมใช่ไหม ค่อยๆ เข้าใจไป และค่อยๆ ฟังต่อไป ละเอียดขึ้นๆ ก็คือ การศึกษาพระอภิธรรม ขณะที่อภิธรรมกำลังปรากฎให้เข้าใจความต่างกัน