ทุกอย่างจะดีขึ้นเมื่อมีความเข้าใจขึ้น *


    อ.จรัญ คำที่ท่านอาจารย์กล่าวเสมอๆ ว่า ทุกสรรพสิ่งเป็นธรรม ธรรมเป็นอนัตตา ความเข้าใจเบื้องต้นว่า จะช่วยให้เกิดประโยชน์แก่ผู้คนที่ได้ฟัง และพยายามค้นหาความจริง ค้นหาความเข้าใจ ความหมายของข้อความนี้ ก็คือในที่สุดก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น ในสรรพสิ่งทั้งหลาย เพราะเขาก็จะต้องแปรปรวนเปลี่ยนไป เขาต้องเกิด เขาต้องดับไป เมื่อความยึดมั่น ถือมั่นในสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่เป็นอารมณ์ของจิต ลดน้อยลง ความปรารถนา ความหวั่นไหว ความหวาดสะดุ้ง โศกเศร้า เสียใจ หรือแม้แต่ดีใจ มันจะบรรเทาของมันไป ละวางจางคลายไป โดยไม่ต้องมีใครไปสั่ง ไปทำ ไปกด ไปข่ม มันเป็นไปตามกลไกของเหตุปัจจัย

    ผมพอที่จะเห็นได้ว่า ถ้าได้เข้าถึงคำกล่าวที่ว่า ทุกสรรพสิ่งเป็นธรรม ธรรมเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในบังคับบัญชาของใคร ความยึดมั่นถือมั่นในโลกธรรมทั้งหลาย ในลาภยศสรรเสริญ ทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง เกียรติคุณ ก็จะเบาบางลง ความทุกข์ร้อนในจิตใจ ก็จะเบาบางลง ความเบียดเบียนแย่งชิง ก็จะน้อยลง ถ้ามองในแง่ตื้นๆ ว่า ประโยชน์ของการได้ฟังพระพุทธธรรม แล้วก็ค่อยๆ ติดตามศึกษา ฟังคำอธิบายของท่านผู้รู้ ผู้ทรงธรรม จะเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเราเองอย่างนี้ ได้ไหม

    ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะเหตุว่าไม่มีใครทำอะไร นอกจากธรรม แม้แต่ชีวิตจะเปลี่ยนไป ก็เพราะความเข้าใจ เมื่อมีความไม่รู้ ทั้งๆ ที่สิ่งนี้เกิดดับทุกวัน ก็ไม่ได้รู้ถูกต้องตามความเป็นจริงเลยว่า ไม่ใช่เรา แต่พอได้ฟังแล้ว แม้ในขั้นต้นก็เริ่มเห็น เริ่มเข้าใจว่า ไม่มีอะไรที่จะยั่งยืนเลย เกิดมาก็เริ่มไม่ยั่งยืน แล้ว จากเด็กค่อยๆ เติบโตขึ้นทีละวัน จากความไม่รู้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีทางที่จะไม่หมดสิ้นไป แต่ว่าความเข้าใจวันนี้ ถ้าได้ฟังอีกเข้าใจเพิ่มขึ้น นี่เป็นเหตุที่เล่าเรียนศึกษา ไม่ว่าวิชาการใดๆ ทั้งสิ้น จะให้รู้ทันทีเป็นไปไม่ได้ ยิ่งเป็นความจริงที่ปกปิดมาในแสนโกฏกัปป์ในสังสารวัฎ จะให้รู้วันนี้ทันที เป็นไปไม่ได้ แต่ว่าสามารถที่จะเริ่มเข้าใจในขั้นการฟัง ว่าจริงหรือเปล่า ได้ยินเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เมื่อสักครู่นี้เลย แน่นอน เห็นเดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่เห็นเมื่อสักครู่นี้ ความคิดในเสียงแต่ละคำ ก็ไม่ใช่ขณะก่อนนี้เลย

    เพราะฉะนั้นก็มีการเกิดดับสืบต่อ ซึ่งไม่ปรากฏรอยต่อของการดับ และการเกิดต่อเลย เร็วมาก นี่เป็นเหตุที่ปกปิดได้ ไม่ให้รู้ความจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างชั่วคราวแสนสั้น จะเป็นคนนี้ได้อีกนานเท่าไร และจะเป็นคนนี้โดยที่ว่า มีความยึดมั่นว่ามีเรา ทั้งๆ ที่ไม่มี นี่ก็หลงแล้ว ผิดแล้ว และการที่มีเรา ก็ทำให้ต้องการแสวงหาทุกอย่างเพื่อเรา ทั้งหมดเลย จนกว่าจะรู้ว่าไม่มีเรา และทั้งหมดไม่ใช่เฉพาะตัวเรา ไม่ว่าใครทั้งสิ้น ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูง ต่างชาติ ต่างภาษาก็เป็นธรรมหมด โลภะ ความติดข้องเหมือนกันหมด เกิดแล้วเปลี่ยนไม่ได้ ไม่ว่าใครทั้งนั้น ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ความไม่พอใจ ไม่ใช่เป็นของชาติหนึ่งชาติใด คนหนึ่งคนใด แต่เป็นลักษณะที่เกิดเมื่อไร ตรงไหน กับใคร ก็เป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นเห็นสิ่งใด เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ เพราะมีความเข้าใจถูกต้อง ทำให้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นการมีความเมตตา ความเป็นมิตรก็เจริญขึ้นเพราะความเข้าใจ ทุกอย่างจะดีขึ้น เมื่อมีความเข้าใจขึ้น ถ้ายังคงเป็นเรายึดมั่นว่า เราไม่ตายหรอก พรุ่งนี้เราก็ยังอยู่ กับการที่เราคิดว่า เดี๋ยวก็ตาย จะทำอะไรก็ทำเสีย ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ก็ทำให้เราไม่ประมาท ในการที่จะเป็นคนดี และก็ทำความดี จนกว่าจะรู้ความจริงว่าไม่มีเรา เพราะฉะนั้นที่ถูกต้องที่สุด ที่เปลี่ยนไม่ได้ก็คือว่าไม่มีเรา แต่มีธรรมที่ดีบ้าง ไม่ดีบ้างอีกมากมาย ที่ทรงแสดงไว้โดยละเอียดตามลำดับขั้น

    ผู้ฟัง ก็กล่าวต่อไปได้อีกไหมว่า เราจะไปออกกฎหมายบังคับ ให้คนเป็นคนดี ไม่มีทางสำเร็จ เราจะไปบังคับตัวเองด้วยซ้ำ ให้เป็นคนดี โดยที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจโลก ไม่เข้าใจชีวิต ไม่เคยได้สดับหลักธรรม อย่างที่ท่านอาจารย์สะท้อน พระดำรัสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาให้พวกเราได้ฟัง ถ้าปราศจากการได้ฟังพระธรรมที่บริสุทธิ์อย่างนี้ เราไม่สามารถบังคับ หรือทำให้ใครเป็นคนดีได้ แม้แต่ตัวเราเอง

    ท่านอาจารย์ เริ่มเห็นความเป็นธรรม เริ่มเข้าใจความหมายของอนัตตา แล้วค่อยๆ เข้าใกล้ความจริง ไม่มีใครอยากชั่ว ไม่มีใครอยากไม่ดี แต่โกรธแล้ว เกลียดแล้ว ทำร้ายแล้ว คิดไม่ดีแล้ว ตามเหตุตามปัจจัย เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่ไม่ดีเป็นเหตุ ต้องให้ผลเป็นสิ่งที่ไม่ดี และก็ยังไม่รู้ด้วยว่า พูดได้อย่างนี้เหตุดีนำมาซึ่งผลดี เหตุไม่ดีก็นำมาซึ่งผลไม่ดี แต่ไม่ได้เข้าถึงเลยว่า เหตุคืออะไร และผลคืออะไร หารู้ไม่ว่าการเกิดนี่ ก็เป็นผลของกรรมการกระทำ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ เป็นผลของกรรมดี ถ้าเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นผลของกรรมไม่ดี ไม่สามารถที่จะได้ยินได้ฟัง ได้เข้าใจธรรม ได้ประพฤติสิ่งที่ดีงาม เพราะเหตุว่า ผลของกรรมทำให้เกิดอย่างนั้น

    ได้ยินอย่างนี้ จิ้งจก ตุ๊กแกอะไร ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ แต่ผู้ที่เกิดเป็นมนุษย์ก็ต่างกันหลากหลาย ประเภทที่ไม่สนใจที่จะรู้ความจริง มีมาก ไปฝืนเขาให้ฟัง ประโยชน์อย่างนี้ ก็ไม่สนใจ เพราะมีความเป็นเรา จากความไม่รู้ เพราะฉะนั้นชาวโลกหาวิธีทุกทางที่จะให้คนดี แต่ไม่รู้ว่าดีคืออะไร และอะไรเป็นเหตุให้ดีบ้าง ชั่วบ้าง ก็ไม่มีทางสำเร็จเลย แต่เขาก็กล่าวว่า มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แต่ไม่ได้พึ่งเลย เพราะเหตุว่าความเข้าใจพระธรรม คือสิ่งที่มีจริงถูกต้องต่างหาก ที่จะเป็นเหตุให้รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว เหตุอย่างไร ผลอย่างไร เพราะฉะนั้นจะมีที่พึ่งจริงๆ ที่จะกล่าวว่า มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ก็คือฟังคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว


    หมายเลข 11823
    12 ต.ค. 2567