พ้นภัย เพราะเข้าใจความจริง
ดี เจ บัญชร สวัสดีครับ รายการจิบกาแฟข้างสภา สถานีวิทยุกระจายเสียงมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ผม บัญชร วิเชียรศรี เจอกันวันนี้วันเสาร์ที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ช่วงเวลา ๑๑ โมงถึงเที่ยง วันนี้ทุกท่านจะได้ฟัง รายการจิบกาแฟข้างสภา ในเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของ การพิจารณาสิ่งที่ตัวเราสัมผัสอยู่ เรื่องของความทุกข์ ความไม่สบายใจ ความรู้สึกว่ามีภัย หลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา แม้แต่เรื่องที่เป็นกระแสอยู่ทั่วโลกทุกวันนี้ ทำให้เกิดมาตรการต่างๆ มากมาย ก็คือ เรื่องของการป้องกันภัยจากโควิด ๑๙
เราได้ยินข่าวผู้เจ็บป่วย ได้ยินข่าวการเสียชีวิต ได้ยินเรื่องที่ไม่ดี เกี่ยวกับเศรษฐกิจอะไรอีกหลายอย่างเลย รู้สึกว่าเป็นทุกข์ เป็นปัญหา เป็นภัย ผมได้โทรศัพท์สนทนาธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ซึ่งท่านอาจารย์สุจินต์เป็นอีกท่านหนึ่ง ที่ท่านได้พูดถึงเรื่องของพระพุทธศาสนา พูดถึงเรื่องเนื้อหาในพระไตรปิฎก เรื่องของหลักคำสอน ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความปรารถนาที่จะให้พุทธศาสนิกชน เข้าใจหลักธรรมคำสั่งสอน ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มากยิ่งขึ้น ชัดเจนยิ่งขึ้น แล้วก็ถูกต้องตรงตามที่อาจารย์ได้ศึกษามา อาจารย์มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย
แล้วก็ความจริงแล้ว ในวันที่ ๒๔-๒๕ มีนาคม ที่จะถึงนี้ ทางชมรมบ้านธัมมะหาดใหญ่ ซึ่งเป็นเครือข่ายหนึ่ง ของทางมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้เตรียมการจัดสัมมนา ในเรื่องพ้นภัยเพราะเข้าใจความจริง เป็นการพูดคุยสนทนาธรรมกับคณะอาจารย์วิทยากร จากมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ซึ่งเผยแพร่พระธรรมโดยตรง จากพระไตรปิฎก ผ่านรายการบ้านธัมมะช่อง ๑๑ และเว็บไซต์บ้านธัมมะด้วย จะจัดที่โรงแรมไดมอนด์ ที่ห้องประกายทอง เตรียมงานทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ว่าเมื่อเจอกับสถานการณ์โควิด ๑๙ ที่ทุกวันนี้เราทราบแล้วว่า ไม่ควรจะมีการชุมนุมร่วมกัน คนที่เป็นจำนวนมากมาเจอกันโดยไม่จำเป็น ก็ทำให้ต้องงดกิจกรรมครั้งนี้ไป
เพราะฉะนั้นก็แจ้งให้สมาชิกทั้งหลายได้ทราบว่า การสนทนาธรรมในหัวข้อ พ้นภัยเพราะเข้าใจความจริง ที่จัดโดยชมรมบ้านธัมมะหาดใหญ่นั้น ก็งดไป แล้วในอนาคตจะมีขึ้นอีกเมื่อไร ก็ค่อยว่ากันอีกครั้งหนึ่ง แต่ว่าจากการที่งดไปนั้น ส่วนหนึ่งผมก็นำคำถาม แล้วก็แนวทางที่ทางผู้จัด ที่อยากจะคุยกันในวันนั้น นำมาพูดคุยกับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ โดยตรง ก็ได้ ความน่าสนใจหลายๆ อย่าง ตัวผมเองได้ฟัง ก็ได้ทบทวน ได้ตระหนักคิดอะไรอีกหลายๆ อย่างเลย ก็อยากให้ทุกท่านได้ฟัง ฟังแล้วก็หวังว่า จะทำให้เราเข้าใจกับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น แล้วก็ระมัดระวังตัว ก็เป็นการระมัดระวังตัวอย่างมีสติ เป็นไปตามข้อมูล ความเห็นที่เป็นจริง เป็นสัมมาทิฏฐิด้วย
ต่อนี้ไป ก็จะให้ทุกท่านได้ฟังเสียงที่ผมได้พูดคุยกับ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในหัวข้อ พ้นภัยเพราะเข้าใจความจริง ในรายการจิบกาแฟข้างสภาครับ
อาจารย์สุจินต์ครับ ในสังคมเราทุกวันนี้ ไม่ว่าจะสังคมโลก หรือว่าสังคมไทยก็ตาม เรามีความรู้สึกวิตกกังวล หวาดกลัว ต่ออะไรทั้งหลายที่มันเกิดขึ้นรอบตัว แล้วเราไม่รู้ว่า มันคืออะไรแน่ แล้วก็มันจะไปจบตรงไหน อาจจะเป็นความเจ็บความป่วย ความตาย โดยเฉพาะในช่วงนี้ เราได้ยินโควิด ๑๙ ก็เป็นข่าวที่ดังไปทั่วโลก ทางภาคใต้ก็มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง กับความไม่ปลอดภัยในพื้นที่ ๓ จังหวัด คนไทยก็วิตกกังวล มาจากต่างถิ่น เวลามาในพื้นที่ภาคใต้ แม้แต่มาหาดใหญ่ ก็ยังกังวลว่า จะเจอเรื่องแบบนี้หรือเปล่า แต่พอจริงๆ แล้ว แม้แต่ชีวิตประจำวัน คดีอาชญากรรม อุบัติเหตุทั้งหลาย มันก็เป็นภัยที่แวดล้อมอยู่รอบตัวเราตลอดเวลาเลย ทีนี้ท่ามกลางความกลัวต่างๆ เหล่านี้ เราควรพิจารณาสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆ ตัวของเราอย่างไร ในหลักธรรมทางพุทธศาสนา
ท่านอาจารย์ ความจริงที่สุด ก็คือว่า มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชา ไม่ให้เกิดขึ้นได้ไหม ในเมื่อเกิดแล้ว เห็นไหม เราต้องไตร่ตรองไปถึงต้นเหตุจริงๆ ว่า เราไม่ได้เข้าใจเลยว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีใครสามารถจะทำอะไรได้เลย นอกจากมีปัจจัยที่จะให้สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นจึงจะเกิดขึ้นได้ ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าความจริงมันลึกซึ้ง ถึงจะมีภัย ไม่มีภัย อย่างไรก็ต้องมีเห็น มีได้ยิน มีคิดนึก ห้ามไม่ได้ แค่นี้ยังห้ามไม่ได้ แล้วจะไปห้ามภัยอะไรได้ ในเมื่อมีปัจจัยที่จะเกิดก็เกิด เกิดให้เห็นด้วยว่า ใครก็ทำอะไรไม่ได้ บังคับบัญชาไม่ได้ เพียงแต่ว่า ถ้าเข้าใจความจริง ว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคิด เราต้องการ แต่ทุกสิ่งทุกอย่าง มีเหตุที่จะให้เกิดขึ้นเป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น และตัวอย่างก็ชัดเจนทุกสมัย
ถ้าไม่มีโควิด เราก็ไปคิดถึงเรื่องอื่น แล้วก็ลืมเรื่องนี้ แต่ไม่ว่าอะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้น ใครทำให้เกิดได้ ไม่มีใครสักคนหนึ่ง แต่ว่าเกิดแล้วต่างหาก แล้วเราก็ต้องรู้จริงๆ ว่า ใครจะรู้ซึ้งถึงเหตุที่ ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะต้องเป็นอย่างนี้
ดี เจ บัญชร การที่เรากลัวภัยอันตราย ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา แล้วเราหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญ ถือว่าเป็นวิธีที่ถูกไหม
ท่านอาจารย์ ไม่มีทางทำได้เลย จะหลีกเลี่ยงอย่างไร ถ้าจะใช้วิธีป้องกัน เขาก็ป้องกัน แต่ว่าคนที่จะป้องกันอย่างไร ถึงเวลาที่จะเกิดก็เกิดได้ ใช่ไหม เพียงแต่ว่าเราไม่ประมาท เพราะเรารู้เหตุที่แท้จริง ว่าแต่ละอย่างเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ตามคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียดอย่างยิ่ง ว่าทุกอย่างที่เราไม่รู้ ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร พระองค์ทรงแสดงเหตุ ทั้งเหตุใกล้ และเหตุไกลอย่างละเอียด
เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความรู้ เราก็จะกลัวไปหมดเลย ใช่ไหม อย่างวันนี้เรากลัวโรคนี้ แต่ว่าต่อไปข้างหน้า มีโรคอื่น เราก็กลัวอีก ใช่ไหม กลัวไปหมด เพราะไม่รู้ความจริงว่า เหตุที่จะให้เกิดสิ่งที่ดีก็มี เหตุที่จะให้เกิดสิ่งที่ไม่ดีก็มี ทำไมเกิดขึ้นกับคนที่ดี เกิดขึ้นกับอีกคนไม่ดี ทำไมคนทั้งโลกไม่เป็น แต่ทำไมบางคนเป็น อย่างโรคนี้ก็ไม่ได้เป็นกันทุกคน ใช่ไหม และความกลัวต้องมีแน่นอน ตราบใดที่มีความรักตัว ใช่ไหม เกิดมานี่ก็กลัวไปหมด แต่กลัวน้อยกลัวมากก็แล้วแต่
ดี เจ บัญชร เวลาพูดถึงความไม่ประมาท สำหรับผม สำหรับคนทั่วไป ผมก็มองว่า ไม่ประมาทก็คือ เรารู้ว่า เราเห็นภัยอย่างที่เรากลัวๆ นี่แหละ กลัวอุบัติเหตุ กลัวอาชญากรรม กลัวโรคภัยไข้เจ็บ กลัวภัยพิบัติทางธรรมชาติ และผมก็หลีกเลี่ยงที่จะเจอมัน ผมถือว่าเป็นความไม่ประมาท
ท่านอาจารย์ คนที่เขาเป็นโควิด เขาหลีกเลี่ยงหรือเปล่า แต่เขาก็เป็นใช่ไหม หรือว่าเขาไม่ได้หลีกเลี่ยง เขาก็เป็นใช่ไหม เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วมันก็มีเหตุที่เรามองเห็นใกล้ๆ ว่าถ้าปล่อยตัวไม่ระวังตัวเลย ก็มีทางที่จะเป็นไปได้ แต่เหตุไกลยิ่งกว่านั้นก็คือว่า คนที่ระวังตัวแล้ว ยังเป็นได้ เพราะอะไร และคนที่ไม่ระวังตัวอย่างนั้น แต่ถึงเวลาจะไม่เป็น ก็ไม่เป็น หรือเป็นกันทุกคน หรือคนที่กลัว ที่ระวังเท่านั้นที่ไม่เป็น และคนที่เป็น ไม่ระวังเท่านั้นหรืออย่างไร
ดี เจ บัญชร คนที่ระวังก็เป็น เท่าที่ผมได้ยินข่าวมา
ท่านอาจารย์ เพราะถึงจะระวังอย่างไร ก็เป็นได้ ถ้าถึงเวลาที่จะเป็น แต่ถ้าไม่ถึงเวลาจะเป็น อย่างไรก็ไม่เป็น แต่ว่าจะไม่เป็นเสียเลย เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าที่เกิดมา ก็คือเป็นแล้ว แล้วก็จะเป็นไปเรื่อยๆ ทุกขณะ ใช่ไหม ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เป็นดี เป็นร้าย เป็นทุกข์ เป็นสุขต่างๆ เหล่านี้ ก็เป็นอย่างนี้แน่นอน ไม่มีการที่ว่าจะเป็นดีไปได้ตลอดเวลา ใช่ไหม หรือว่าการเป็นทุกข์ บางคนก็ทุกข์กาย แต่ใจก็ไม่เป็นทุกข์เลย บางคนก็ใจทุกข์มาก แต่กายไม่เป็นทุกข์เลย และทั้งหมดนี้ก็คือว่า ไม่รู้เหตุ ว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร เพราะฉะนั้นเมื่อไม่รู้เหตุ ก็ไม่รู้ว่าเหตุอะไร ที่จะให้ผลที่ดีเกิดขึ้น เหตุอะไรที่จะให้ผลที่ไม่ดีเกิดขึ้น
ดี เจ บัญชร ถ้าฟังตามที่อาจารย์พูดแล้ว นึกตามไป โดยทั่วๆ ไปผมก็จะเหมือนกับว่า เราก็ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะว่าเหตุมันจะเกิด มันก็ต้องเกิดของมันอยู่แล้ว ไม่เห็นจำเป็นจะต้องไปหลีกเลี่ยง หรือระมัดระวังอะไร มันเหมือนความประมาทด้วยไหมแบบนั้น
ท่านอาจารย์ เห็นไหม เริ่มคิดผิดแล้ว ตามความไม่รู้ ก็คือคิดว่า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องทำอะไร แต่คิดหรือเปล่า ว่าต้องทำดี ต้องเป็นคนดี เพราะว่าเป็นเหตุที่จะให้เกิดสิ่งที่ดี ถูกต้องไหม
ดี เจ บัญชร ถูก
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเราข้าม เราไปมองเหตุทั่วๆ ไป ป้องกันโรคหรืออะไรๆ แต่เหตุยิ่งกว่านั้นก็คือว่า สิ่งที่เป็นเหตุที่ดี อย่างไรๆ ผลก็ต้องดีแน่นอน และส่วนเหตุที่ไม่ดี จะทำอย่างไรก็ต้องไม่ดี ทำไมคนเราเกิดมา ยังไม่มีโรคโควิด ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น แต่พิการก็ได้ อะไรก็ได้ทุกอย่าง คิดว่าจะตายด้วยโรคนี้ ก็ไม่ใช่ แต่ตายด้วยโรคอื่นก็ได้ หรือไม่มีโรคอะไรก็ตายได้
เพราะฉะนั้นแต่ละคน ก็หวังแต่สิ่งที่ดี แต่ไม่รู้ว่าเหตุที่จะให้เกิดสิ่งที่ดีนั้นคืออะไร เพราะฉะนั้นเหตุมีมาตั้งแต่ยาวไกลมาก คือเหตุที่ดี จะต้องให้ผลที่ดีเสมอไป เหตุที่ไม่ดี ก็ต้องให้ผลที่ไม่ดีเสมอไป นี่ไม่ผิดใช่ไหม
ดี เจ บัญชร ไม่ผิด
ท่านอาจารย์ แต่เราลืม เราคิดว่าถ้าอย่างนั้น ก็ไม่ต้องทำอะไร ขณะนั้นที่ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็คือว่าไม่ดีแน่ เพราะเหตุคือ ไม่รู้ว่าควรทำดี
ดี เจ บัญชร หมายถึงว่า ถ้าคิดว่าไม่ต้องทำอะไร ปล่อยไป แปลว่าแม้แต่ทำดีก็ไม่ได้ทำ
ท่านอาจารย์ คิดผิด ปล่อยไป เห็นไหม ปล่อยไปก็ต้องไม่ดีไปเรื่อยๆ เพราะเราไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ขณะที่ปล่อยไป ทำดีหรือเปล่า เห็นไหม แต่ถ้าทำดีก็ไม่ใช่ปล่อยไป อย่างเวลานี้มีโรคโควิด ใครๆ ก็ช่วยกัน ดูแลเอาใจใส่ซึ่งกัน และกัน ใช่ไหม ไม่มีการทุจริตเรื่องอะไรต่ออะไรต่างๆ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็ค่อยๆ บรรเทาลงไปได้ แต่ถ้ามีสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้น ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ไม่ดี
เพราะฉะนั้นจุดที่สำคัญที่สุดที่คนลืม ก็คือ ความดี ความชั่ว ซึ่งเป็นเหตุที่แท้จริง แต่เขามองไม่เห็น เขาไปคิดเพียงแค่ว่า จะป้องกันตัวเท่านั้น แต่ใจป้องกันหรือเปล่า ที่จะไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี
ดี เจ บัญชร ความดีหรือสิ่งที่ดีนี้ เราประเมินได้ด้วยอะไรบ้าง ผมเคยเห็นบางสิ่งบางอย่าง บางคนบอกว่านี่คือความดีของเขา ในขณะที่อีกคนหนึ่งที่มองไม่เหมือนกัน เขามองว่าไม่ใช่ ความดีของเขาเป็นอีกอย่างหนึ่ง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความดีของคนที่ไม่เคยฟังพระธรรมเลย กับความดีของคนที่ฟังพระธรรม แล้วเข้าใจเหตุ และผล ก็ต้องต่างกัน ใช่ไหม
ดี เจ บัญชร ใช่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเขาไม่ได้เรียนรู้เหตุที่แท้จริงเลย แม้แต่ว่าขณะนี้ แม้แต่เดี๋ยวนี้เอง ได้ยินเสียง บังคับได้ไหม ไม่ให้ได้ยิน
ดี เจ บัญชร ไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทุกอย่าง เหมือนเกิดเองตามลำพัง แต่ความจริงไม่ใช่เลย เพราะว่าเสียงในป่าก็มี เสียงไกลๆ ก็มี ใช่ไหม เสียงในห้องก็มี คนละห้อง แต่เสียงที่ได้ยินต้องเป็นเสียง ซึ่งไม่ใช่เสียงอื่น แต่เป็นเสียงที่เฉพาะทำให้ได้ยินเสียงนั้นเกิดขึ้น จะเป็นเสียงดีหรือไม่ดี ละเอียดมากเลย ถ้าเราจะย่อยเวลาแต่ละขณะนี้ลงมาสั้นๆ เป็นเห็น เป็นได้ยิน เป็นคิดนึก เป็นอะไร เกิดดับสลับกันรวดเร็วมากทั้งวัน ไม่มีอะไรที่อยู่นิ่งหรือคงที่เลย แต่เราไม่รู้ เพราะว่าติดกันหมด จนกระทั่งมองไม่เห็นว่าอะไรเกิดขึ้น อะไรดับไป เพราะว่าต่อกันเร็วมาก เพราะฉะนั้นเมื่อสักครู่ เราคุยเรื่องนี้ แล้วเราก็เปลี่ยนมาคุยอีกเรื่องหนึ่ง เห็นไหม เรื่องอื่นหมดแล้ว
เพราะฉะนั้นเรื่องโควิดก็เป็นเรื่องหนึ่ง ถ้าเรานอนหลับสนิท ก็ไม่รู้ไม่เห็นอะไร แต่พอตื่นขึ้นมาก็กังวลด้วยความรักตัว แล้วแต่ว่ากังวลนั้น จะทำเพื่อตัวเอง หรือว่าจะทำเพื่อคนอื่น หรืออะไรอย่างนี้ ก็มีหลายสาเหตุ แต่ดิฉันคิดว่า ถ้าทุกคนมีความเข้าใจในความดี และทำดี ไม่กลัวอะไรเลย
ดี เจ บัญชร ถ้าอย่างนั้นหมายถึงว่า ภัยที่แท้จริงที่เราควรตระหนัก ไม่ใช่ภัยที่คนทั่วๆ ไปกำลังรู้สึกอยู่ ณ เวลานี้ ว่ากลัวสิ่งนั้นที่เป็นปัจจัยภายนอกอย่างนั้นอย่างนี้ กลัวความเปลี่ยนแปลงอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างนั้นหรือ
ท่านอาจารย์ เพราะว่าแต่ละคน กลัวกันทั้งนั้นเลย แต่ภัยจะเกิดขึ้นกับใครโรคนี้ ต้องสำหรับคนที่ภัยนั้นจะเกิดขึ้นกับเขา ใช่ไหม
ดี เจ บัญชร ใช่
ท่านอาจารย์ ไม่อย่างนั้นทุกคนก็เป็นกันไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับใคร ก็ต้องมีเหตุเฉพาะคนนั้นๆ แต่ละคนไป เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก แต่ว่าทั้งหมดนี้ สามารถที่จะค่อยๆ ไตร่ตรอง แล้วก็เข้าใจว่าจริงๆ เรากลัวอะไร ตราบใดที่เราเกิดมาเป็นอย่างนี้ เราต้องกลัว คนไม่กลัวไม่มี ตั้งแต่เกิดมาก็กลัวแล้วใช่ไหม ไม่กลัวอะไรมาก ก็กลัวจิ้งจก ตุ๊กแก กลัวมด กลัวอะไร เห็นไหม ก็กลัว เพราะความกลัวยังมีอยู่ เพราะไม่รู้ความจริงว่ากลัวนั่นดีไหม กับไม่กลัว แต่เข้าใจสิ่งที่เรากลัวว่าคืออะไร
ดี เจ บัญชร ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่เรากลัวจริงๆ คืออะไร
ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้ว น่าจะกลัวความไม่รู้ความจริง ซึ่งขณะนี้ก็มี แต่ไม่รู้ จึงได้กลัว ทั้งๆ ที่สิ่งนั้นหมดแล้ว เราพูดถึงเรื่องโควิด ๑๙ จบไปแล้ว จะกลัวอีกไหม จบแล้ว ใช่ไหม คนที่จะกลัวก็จะกลัวต่อไปอีก แต่คนที่ว่ามีเรื่องอื่นที่จะคิด เขาก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้แล้ว ทุกอย่าง คือความกลัวเกิด เพราะไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว แต่ละหนึ่งขณะที่เกิด แล้วก็ปรากฎแตกต่างกันไปหลากหลาย คืออะไร ทำไมเกิดอย่างนี้ ทำไมเป็นอย่างนี้ สำหรับประเทศนี้ คนนี้ เรื่องนี้ ทุกอย่างหมด เราไม่รู้เหตุที่จะให้เกิดขึ้น ฟังดูเหมือนกับว่า เราพูดเรื่องอะไรกัน แต่ความจริงเป็นสิ่ง ซึ่งถ้าทุกคนลองไตร่ตรอง ก็จะทนความกลัวได้ โดยที่ว่าถ้าจะเกิดก็ต้องเกิด ใช่ไหม ถ้าจะไม่เกิด ก็ไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้นได้เลย แต่ว่าจะต้องมีเหตุ ที่จะทำให้ ทำไมสิ่งนี้เกิดขึ้นกับคนนี้ ทำไมสิ่งนี้เกิดขึ้นกับคนนั้น ต่างเหตุ ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ต่างๆ กันหลากหลายมาก
ดี เจ บัญชร ผมฟังที่อาจารย์สุจินต์อธิบายจับได้อยู่ ตรงส่วนหนึ่งก็คือ เวลาเรากลัวขึ้นมา แล้วเราก็หายกลัวไป แต่เราก็อาจจะกลัว ความกลัวเดิมนั้นขึ้นมาอีกได้ เป็นเกิดดับๆ อย่างนั้นหรือ
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ไม่มีอะไรที่ไม่ดับไปเลยสักอย่างเดียว คือดับที่เราเข้าใจว่าหมด แต่ความจริงสิ่งที่หมดที่เราใช้คำว่าดับ เพราะว่าไม่กลับมาอีกเลย ไปค้นหาที่ไหนก็ไม่ได้ อย่างเสียงเมื่อสักครู่นี้ แค่เมื่อสักครู่นี้ ต่อจากนั้นก็ไปหาที่ไหนอีกไม่ได้เลย เร็วไหม แล้วเราก็ลืมไปแล้วด้วย เพราะมีเสียงใหม่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไปอีก เป็นอย่างนี้ปิดบังทุกขณะไม่ให้รู้ความจริง
ดี เจ บัญชร ถ้าอย่างนั้นภัยที่แท้จริงคืออะไร
ท่านอาจารย์ กิเลส ความไม่รู้ พระอรหันต์ ท่านจะกลัวโรคโควิดไหม
ดี เจ บัญชร ถ้าตามที่ได้อ่านได้ยินมา ไม่กลัว
ท่านอาจารย์ ไม่มีกิเลสเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นไม่หวั่นไหวเพราะรู้ต้นเหตุจริงๆ ว่า เหตุที่ให้เกิดคืออะไร ถ้าเหตุมี และถึงเวลาที่จะเกิด ใครก็ยับยั้งไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการตาย ได้ลาภ เสื่อมลาภ หรือมีภัยต่างๆ หรืออะไรทั้งหมด ไม่มีใครไปยับยั้งได้เลย ถ้าพร้อมที่จะถึงเวลา ที่จะเกิดก็เกิดให้เห็นแล้ว
ดี เจ บัญชร ความกลัวเหล่านี้เป็นภัยอย่างไร
ท่านอาจารย์ เพราะว่าเราไม่รู้ความจริง ซึ่งถ้าพูดตอนนี้ ก็เป็นเรื่องที่ลึกซึ้งมาก แต่ว่าสามารถที่จะเข้าใจได้คือ ภัยที่เข้าใจผิดว่า มีเรา สิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเรา แต่ความจริงถ้ารู้จริงๆ ไม่มีเรา ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา ไม่มีเรา ไม่ว่าอะไรทั้งหมด ไฟก็มีปัจจัยเกิดขึ้น ลมก็มีปัจจัยเกิดขึ้น ไม่ว่าจะร้อน จะเย็น จะหวาน จะเค็ม จะตื่นเต้น จะดีใจทั้งหมด มีปัจจัยจึงเกิดขึ้น ถ้าไม่มีก็ไม่เกิด
เพราะฉะนั้นเราไม่รู้เลย ว่าสิ่งเหล่านั้นที่เกิดแล้วดับไปเป็นเราหรือสักอย่างเดียว พอเกิดมา ขณะที่เกิด หายไปเลย ไม่กลับมาอีกเลย มีแต่ขณะต่อไปๆ จนกระทั่งจากโลกนี้ไป ไม่เหลือเมื่อไร จึงจะรู้ว่าแท้ที่จริง ไม่มีเราตั้งแต่เกิด เพราะว่าพอตายก็ไม่เหลือเลย เหมือนทุกๆ ขณะ เมื่อวานนี้ก็ไม่เหลือถึงวันนี้ เมื่อสักครู่นี้ก็ไม่เหลือถึงเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ได้ยินสักคำหนึ่ง ก็ไม่เข้าใจความลึกซึ้ง เช่นว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สัพเพ ทั้งหลาย สัพเพ ธัมมา อนัตตา เปลี่ยนไม่ได้เลย แต่ทำไมเราไม่คิดว่านี้พ้นภัยแน่ ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้อง
เพราะสิ่งที่มีไม่ใช่เรา ดีก็เกิดขึ้นโดยมีเหตุ ชั่วก็เกิดขึ้นโดยมีเหตุ ผลของดีของชั่วก็เกิดขึ้นโดยมีเหตุ แล้วเราอยู่ตรงไหน ถ้าเรามีจริงๆ ก็ไม่ต้องตาย ใช่ไหม แต่นี่ตาย ทุกคนต้องตายหมดเลย แล้วเราไปอยู่ตรงไหนตอนนั้น
ดี เจ บัญชร การมีอยู่ในปัจจุบัน ให้ถือว่ามีอยู่จริงหรือ
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เกิด จะมีไหม
ดี เจ บัญชร ไม่มี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดก็มี ใช่ไหม
ดี เจ บัญชร ใช่
ท่านอาจารย์ พอเกิดแล้วก็เลยยึดถือ สิ่งที่เกิดว่าเป็นเรา แต่สิ่งนั้นดับไปโดยเราไม่รู้เลย จิตขณะแรกที่เกิดอยู่ไหน
ดี เจ บัญชร ไม่ใช่จิตเดียวกับปัจจุบันหรือ
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เลย จิตแสนสั้น นี่เป็นสิ่งซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องทรงบำเพ็ญพระบารมีนานเท่าไร กว่าจะรู้สัจจธรรม ความจริง ถึงได้ทรงแสดงว่า สังขารธรรม คือ สิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นต้องดับไป สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าอนัตตาแล้วไม่เว้นเลย แต่สิ่งที่เกิดต้องดับ แน่นอน มีอะไรที่ยังเหลืออยู่บ้าง ลองคิด คำพูดเมื่อสักครู่นี้ จิตที่คิดเมื่อสักครู่นี้ แข็งปรากฏ แล้วเวลาเห็น แข็งหายไปไหน แล้วไม่กลับมาอีกเลย กระทบใหม่ก็ไม่ใช่แข็งเก่า
ดี เจ บัญชร ไม่เห็นจริงๆ
ท่านอาจารย์ ไม่เห็น เพราะว่าต้องฟังจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ว่า สิ่งที่มีแต่ละหนึ่ง เป็นธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ไม่เห็นบอกว่าเป็นเราเลย ใช่ไหม แต่บอกว่าเป็นธรรม แต่ยึดถือธรรมทั้งสภาพที่เป็นจิต สภาพรู้ และรูปร่างกายทั้งหมด ว่าเป็นเราทั้งสองอย่าง เป็นของเราด้วย แต่ตรงไหนจะเป็นของเราได้ บังคับบัญชาไม่ได้เลย ไม่อยากให้เจ็บไข้ได้ป่วย ทำไมเจ็บเข่า ใช่ไหม แล้วอย่างไร ไหนของเรา ของเราเมื่อสักครู่นี้ไม่เจ็บ แล้วตอนนี้เจ็บมาจากไหน กลายเป็นเราเจ็บไปอีก พอรักษาหาย ที่เจ็บ ที่ว่าเป็นเราหายไปไหน ที่ว่าเป็นเราหายไปทั้งหมดเลย แต่ละหนึ่งๆ เห็นเมื่อสักครู่นี้ว่าเป็นเรา พอไม่เห็น เราที่เห็นเมื่อสักครู่หายไปไหน
เป็นเรื่องที่ละเอียด เพราะฉะนั้นการที่จะฟังพระธรรม ต้องรู้ว่าเป็นสิ่งที่ละเอียดลึกซึ้ง ถ้าเข้าใจจริงๆ แล้ว ก็จะไม่หวั่นไหว เพราะเป็นเหตุที่จะให้ทำแต่สิ่งที่ดี เพื่อผลที่ดีจะเกิดขึ้น ไม่ใช่ผลที่ไม่ดี
ดี เจ บัญชร ณ เวลาที่เราเจ็บ ณ เวลาที่เราสุข เวลาที่เรากลัว เวลาที่เราโกรธ หรือเวลาที่มีอารมณ์ทั้งหลายปรากฏก็ตาม เรารู้สึกว่ามันเจ็บจริง มันทุกข์จริง แล้วเราจะจัดการกับมันอย่างไร
ท่านอาจารย์ ยังไม่ไปถึงจัดการ เราเจ็บ ใช่ไหม
ดี เจ บัญชร ใช่
ท่านอาจารย์ ถ้าเจ็บไม่เกิด จะมีเราเจ็บไหม
ดี เจ บัญชร ไม่มี
ท่านอาจารย์ คุณคงไม่ได้เจ็บอยู่ตลอดเวลา ใช่ไหม
ดี เจ บัญชร แต่ว่าถ้าเหมือนอย่างเช่น ปวดฟัน ก็เจ็บอยู่ตลอดนานอยู่เหมือนกัน
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเราคิดว่านาน แต่ความจริง ความเจ็บเกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ ไม่เปลี่ยน จึงทำให้ปรากฏว่านาน ถ้ายังเจ็บอยู่ป่านนี้เป็นไปได้ไหม ถ้ายังมีปัจจัยก็เป็นไปได้ แต่ไปหาหมอ ถอนฟันเสีย เจ็บหรือเปล่า ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า เห็นไหม เมื่อเจ็บเกิดขึ้น ไม่รู้ความจริงว่า เราไม่ได้ทำให้เจ็บเกิด แต่มีเหตุที่เจ็บเกิด แต่พอเกิดแล้วเป็นเราเจ็บ เรากำลังจำได้ จำได้ เรื่องนั้นก็จำได้ เรื่องนี้ก็จำได้ แต่ไม่รู้หรอกว่า จำก็ไม่ใช่เรา แต่ถ้าไม่มีจำ ก็ไม่มีเราจำ แต่พอมีจำ ก็เป็นเรา
ทั้งหมดที่มี ยึดถือว่าเป็นเรา โดยอวิชชา ความไม่รู้ ถ้ารู้จริงๆ ก็รู้ตามความเป็นจริงว่า แต่ละหนึ่งขณะ แต่ละสิ่งที่ปรากฏให้รู้ ว่ามีจริง สิ่งนั้นต้องเกิด ซึ่งเราไม่ได้ไปทำให้เกิด เกิดแล้วก็ต้องหมดไป แต่ต่อกันเร็วสุดที่จะประมาณได้ เหมือนแสงไฟซึ่งสว่างอยู่ตลอดเวลา ใช่ไหม เพราะเราไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้ว แต่ละหนึ่ง ทันทีที่ดับ สิ่งอื่นก็เกิดซ้อนทันที ไม่ปรากฏการดับไปก่อนอันเก่า เพราะฉะนั้นความไม่รู้ ก็ลวงให้เห็นเป็นรูปร่างสัณฐาน หลับตา มีไหม
ดี เจ บัญชร ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ ลืมตา
ดี เจ บัญชร เห็น
ท่านอาจารย์ เห็นไหม แล้วอย่างไร อะไรเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ก็แค่ปรากฏ แต่จำไว้หมดเลย เป็นคน เป็นดอกไม้ เป็นต้นไม้ เป็นอะไรทุกอย่าง เพียงแค่หลับตา ไม่มีสิ่งนั้นอีก ใครก็ไปทำให้มีไม่ได้เลย แค่นี้ก็ไม่รู้แล้วว่าเพราะดับ แล้วก็พอลืมตา ใหม่แล้ว ไม่เหมือนที่ก่อนจะดับ เป็นขณะใหม่ ไม่ใช่ขณะก่อน
เพราะฉะนั้นชีวิตก็ดำรงอยู่เพียงชั่วหนึ่งขณะ เกิดดับไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นความตายที่ทรงแสดงไว้มี ๓ อย่าง ขะ-นิ-กะ มาจากคำว่าขะ-หนะ ขณิกมรณะ ตายทุกขณะ เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏเดี๋ยวนี้ ดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น แต่เร็วจนไม่มีใครไปรู้ ก็เหมือนยังอยู่ตลอดเวลา สมมติ สมมติว่าตาย ก็คือ ตอนที่ไปปลงอะไร ไปเผากัน สิ้นชีวิตแล้ว คือ สมมติ ไม่ใช่ถึงที่สุดจริงๆ ก็คือตายแล้วเกิดทันที ไม่มีใครรู้เลย นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความเป็นไปของจิต ที่เกิดดับสืบต่อโดยละเอียดอย่างยิ่ง ว่าแต่ละหนึ่งขณะ ต่างกันอย่างไร เกิดขึ้นได้อย่างไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง หลากหลายมาก แต่แม้ว่าขณะนี้กำลังเกิดดับ เหมือนตาย แต่ก็ชั่วขณะก็เกิดอีก ก็เป็นขณิกมรณะ แต่ว่าสมมติมรณะ คือ ที่รู้กันว่าตายจริงๆ เอาไปเผา และ สมุจเฉทมรณะ คือ การปรินิพพาน หรือการตายของพระอรหันต์ ซึ่งไม่มีการเกิดต่ออีกเลย ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าก็ยังต้องอยู่ ใช่ไหม เกิดต่อไป แต่นี่ไม่มีเลย พระสาวกที่เป็นพระอรหันต์ทั้งหลาย ถึงเวลาปรินิพพาน ก็คือ เมื่อจิตขณะสุดท้ายดับ ไม่มีการเกิดต่ออีกเลย แต่สำหรับคนอื่นทั้งหมด นอกจากพระอรหันต์ ยังมีกิเลสที่ยังไม่ได้ดับหมด ก็เป็นปัจจัยให้ เมื่อตายแล้วเกิดทันที
ทรงแสดงไว้หมดเลยทุกอย่าง แต่เราไม่รู้ เราก็ยึดถือว่า เราเกิด เป็นเราไปเรื่อยๆ แล้วก็ตาย แต่หารู้ไม่ว่า ชาตินี้ คือ ชาติก่อนของชาติหน้า พอถึงชาติหน้าไม่รู้เลยเป็นคนนี้ เคยทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพราะว่าเป็นคนใหม่ เหมือนขณะนี้ เราก็ไม่รู้ว่าชาติก่อน ใครเป็นพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง ทำอะไรไว้บ้าง สนุกสนานอย่างไร ก็จะเป็นคนนี้อยู่ได้ชั่วขณะที่ยังไม่ตาย แต่พอตายแล้วก็หมดความเป็นบุคคลนี้ หาอีกไม่ได้เลย ในสังสารวัฏฏ์
ดี เจ บัญชร พระอรหันต์ ท่านจำแนกความต่อเนื่อง ที่ละเอียดอ่อนนั้นได้ไหม
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ประจักษ์สัจจธรรมซึ่งเป็นอริยสัจจ์ ๔ ดับกิเลสไม่ได้ ฟังเท่าไร เข้าใจเท่าไร แต่ยังไม่ประจักษ์แจ้งสภาพที่เป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ดับกิเลสไม่ได้ เพราะกิเลสมีหลายระดับ ตั้งแต่หยาบ ปรากฏให้รู้ได้ อย่างกลาง และอย่างละเอียด ซึ่งนอนหลับก็มี แต่ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์หลับ กับโจรหลับ ไม่มีใครรู้ความต่าง ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่สภาพของจิตต่างกัน
เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่อง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริงถึงที่สุด พิสูจน์ได้เลย ทำไมคนนี้ไม่เป็นโรคนี้ ทำไมคนอื่นเป็น เลือกได้ไหม
ดี เจ บัญชร ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ก็แสดงชัดเจนว่า อนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร เพราะฉะนั้นคำว่า อนัตตา ก็หมายความว่า ไม่ใช่เรา แล้วก็ไม่มีเรา เพราะเหตุว่าเป็นแต่ธรรม ซึ่งเกิดดับ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จนกว่าจะสิ้นสุดในแต่ละชาติ ก็เหมือนชาดก ที่ทรงแสดงพระชาติต่างๆ ของพระองค์ ก่อนที่จะได้ตรัสรู้
ดี เจ บัญชร ความจริงที่อาจารย์สุจินต์กล่าวถึง ที่กล่าวว่า เพราะเราไม่รู้ความจริง ความจริงที่ว่านั้น คือ อะไร
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้อะไรจริง เห็นจริงๆ หรือเปล่า
ดี เจ บัญชร เห็น
ท่านอาจารย์ จริงไหม กำลังเห็นหรือเปล่า
ดี เจ บัญชร กำลังเห็น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเห็นต้องเกิด ถ้าไม่มีตา เห็นได้ไหม
ดี เจ บัญชร ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ มีตา แต่ไม่มีสิ่งที่มากระทบตา จะเห็นสิ่งนั้นไหม
ดี เจ บัญชร ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเห็นเฉพาะสิ่งที่กระทบตาได้เท่านั้นเอง ถูกต้องไหม
ดี เจ บัญชร เมื่อไม่ครบปัจจัย ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ ที่ตรงแขนก็ไม่มีตา การเห็นก็ไม่ได้อยู่ตรงแขน แต่ที่ตา เราไม่สามารถเห็นรูป ของรูปที่สามารถกระทบกันได้ คือ ตาต้องมี และก็มีสิ่งที่กำลังกระทบตาด้วย ที่เห็นสิ่งนั้นต้องกระทบตา แต่อยู่ไหน ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง หาไม่เจอ รู้แต่ว่ากำลังเห็นสิ่งหนึ่ง แต่สิ่งนั้นอยู่ไหน
ดี เจ บัญชร ไม่ใช่สิ่งที่เราเห็น แล้วเราคว้าจับมันได้ตรงนั้นหรือ
ท่านอาจารย์ เวลาจับ จับอะไร
ดี เจ บัญชร จับวัตถุที่เราเห็น
ท่านอาจารย์ แข็ง ใช่ไหม
ดี เจ บัญชร แข็งก็มี
ท่านอาจารย์ จับ สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาได้ไหม
ดี เจ บัญชร จับสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา จับไม่ได้
ท่านอาจารย์ ก็แยกกันแล้ว แต่สิ่งที่ปรากฏทางตา อยู่ที่แข็ง แต่ไม่ใช่แข็ง ถ้าไม่มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เย็น ร้อน อ่อน แข็ง เป็นต้น จะไม่มีสิ่งที่กระทบตาได้เลย แต่สิ่งที่กระทบตาได้ ไม่ใช่ตัวแข็งกระทบ แต่สิ่งที่ติดอยู่ที่แข็ง ที่เป็นสีสันวรรณะต่างๆ สามารถกระทบตาได้ และทำให้การเห็น จิตเห็น สภาพรู้เกิดขึ้นเห็น แล้วดับไปเลย คิดก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ แค่จะต้องเห็น เพราะกรรมเป็นปัจจัยให้เกิดแล้วต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีตา หู จมูก ลิ้น กาย เพื่อรับผลของกรรม
ดี เจ บัญชร ถ้าอย่างนั้น สิ่งที่ผมจับแล้วแข็ง มันมีไหม
ท่านอาจารย์ จับแล้วต้องแข็งแน่ๆ หรือไม่ก็อ่อน หรือไม่ก็เย็น หรือไม่ก็ร้อน หรือไม่ก็ตึง หรือไม่ก็ไหว ใช่ไหม อย่างจับลูกโป่ง กับจับน้ำ ก็ไม่เหมือนกัน ใช่ไหม น้ำ เย็นหรือร้อน อ่อนหรือแข็ง ตึงหรือไหว แต่เราสมมติเรียกว่า น้ำ
ทั้งหมดนี้ต้องเป็นความจริงที่พิสูจน์ได้ แต่ต้องมั่นคง ที่จะเป็นคนที่ตรง ที่จะค่อยๆ เข้าใจความจริงว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาให้เห็น ไม่แข็ง แต่มันอยู่ตรงแข็ง ตรงธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม แสดงไว้ละเอียดว่า ตรงนั้นมีรูปหลากหลายต่างกันกี่ประเภท ที่แยกจากกันไม่ได้เลย ไปแยกสีสันวรรณะ ที่กระทบตาออกจากแข็งก็ไม่ได้ ดอกไม้ก็แข็ง เก้าอี้ก็แข็ง หนังสือพิมพ์ก็แข็ง แต่แข็งไม่ได้กระทบตา แต่สิ่งที่อยู่ตรงแข็ง เป็นรูปสีสันวรรณะ เป็นอีกรูปหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่แข็ง แต่อยู่ที่แข็ง ทรงแสดงไว้ละเอียดมาก ถึงชีวิตแต่ละขณะ แยกย่อยจนให้รู้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง
เพราะฉะนั้น ธรรมคือสิ่งที่มีจริง พระองค์ตรัสรู้สิ่งที่มีจริง จึงใช้คำว่า ทรงตรัสรู้ธรรม ทุกอย่างที่มีจริง เป็นธรรมหมด และตรัสรู้ด้วย
ดี เจ บัญชร สิ่งที่อาจารย์สุจินต์อธิบาย ผมนึกตามแล้วก็ อาจจะเรียกว่าเข้าใจได้บางส่วน แล้วก็มีความรู้สึกว่า ซับซ้อน ละเอียดอ่อนมาก ทำอย่างไรเราถึงเข้าใจสิ่งนี้ได้จริงๆ
ท่านอาจารย์ เริ่มรู้จักพระพุทธเจ้าแล้ว ใช่ไหม คำจริงอย่างนี้ ที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ใครจะกล่าวได้ และละเอียดยิ่งกว่านี้มาก นี่เพียงไม่กี่คำ แต่ทรงแสดงถึง ๔๕ พรรษา แต่ละคำลึกซึ้งมาก แม้แต่คำว่า ธรรม ใครจะรู้ว่าหมายความถึง ทุกอย่างที่มีจริง หลากหลายมาก ก็ประมวลเรียก ธรรม สิ่งที่มีจริง ภาษาไทยใช้คำว่า สิ่งที่มีจริง ถ้าเราไปพูดที่เมืองอื่น ใช่ไหม อินเดียอย่างนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าหมายความว่าอะไร
เพราะฉะนั้นภาษาที่พระองค์ตรัสในการแสดงความจริง ก็คือใช้คำว่า ธรรม การออกเสียงก็ต้องออกเสียงตามที่ถูกต้องด้วย แต่คนไทยจะออกเสียงคำภาษาบาลีไม่ตรง แต่ก็เข้าใจได้สำหรับคนไทย แต่ถ้าเป็นสากล เขาจะไม่รู้ เพราะเราออกเสียงไม่ถูกต้อง อย่าง ดัมมะ เราก็พูดว่าธรรม ใช่ไหม ดีเอช ก็เป็นภาษาไทย แล้วก็บอกธรรม
ดี เจ บัญชร ธ.ธง เสียงเถอะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ว่า ภาษาหรือเสียงที่บ่งให้รู้ว่า หมายความว่าอะไร สำคัญในภาษาของตนๆ เพราะฉะนั้นเราไม่กังวลว่า เราจะพูดเพี้ยน พูดผิดไปบ้าง ขอให้ได้เข้าใจว่า หมายความว่าอะไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือความเข้าใจถูก ด้วยเหตุนี้ภาษามคธี ซึ่งใช้เป็นภาษาที่ดำรงพระศาสนา คือ ปาละหรือปาลี ก็คือ ธรรม หมายถึง สิ่งที่มีจริงทุกอย่างเลย เป็นธรรม
เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริง ของสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น อย่างเห็น ไม่มีใครไปจับต้องเห็นได้ เห็นเกิดขึ้นรู้ แต่ไม่รู้อื่นเลย รู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ เป็นแบบนี้ เฉพาะเท่านี้เอง แล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีก ทำอย่างอื่นก็ไม่ได้ พอได้ยิน ไม่ใช่เห็นเลย รู้เฉพาะเสียง ที่กำลังกระทบหู ไม่ใช่เสียงอื่น แล้วก็ดับไป นี่คือ สิ่งซึ่งแสดงว่า ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร พิสูจน์ได้ อย่างโควิด ๑๙ อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่เราไม่รู้ ว่าจริงๆ แล้ว คือ อะไร ถ้าไม่ได้ยิน คนหูหนวก ตาบอด จะรู้จักไหมว่าเรากำลังพูดถึงอะไร เขาก็ไม่มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องนี้เลย
เพราะฉะนั้นแต่ละหนึ่งๆ คือ แต่ละโลก ซึ่งรวมกัน ปนกันจนกระทั่งเป็นโลกที่เต็มไปด้วยรูปต่างๆ เสียงต่างๆ กลิ่นต่างๆ รสต่างๆ ทำให้คิดนึกเป็นเรื่องเป็นราวต่างๆ ทรงแสดงถึงภาวะ ที่ธาตุรู้ประกอบด้วยอะไรบ้าง ที่มีหน้าที่หลากหลาย เช่น จำ ก็เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ก็ไม่ใช่เรา แล้วจะไปจำอะไร นอกจากสิ่งที่ปรากฏ ถ้าไม่เห็นเลยจะจำได้ไหม ไม่ได้ยินเลย จะจำได้ไหม ก็เป็นเรื่องชีวิตทั้งหมดเลย ซึ่งเกิดมาถ้าได้รู้ ก็จะได้เข้าใจว่า อย่างนี้ทุกชาติเหมือนกันหมด เป็นสังสารวัฏฏ์ที่ไม่รู้จบสิ้น และก็เข้าใจผิดว่าเป็นเรา แต่เป็นธรรม
ดี เจ บัญชร ผมขออนุญาตยกตัวอย่างที่เพิ่งเจอมา เมื่อไม่นานนี้ เป็นเรื่องของเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งผิดหวังจากความรัก คนที่เขารู้สึกว่าเขารักมาก ไม่รักเขาเหมือนเดิมแล้ว ไม่อยากจะอยู่กับเขาอีกแล้ว เขามีความทุกข์มาก ทุกข์จนรู้สึกว่าเรื่องอื่นๆ ไม่มีความหมายอะไรเลย คนที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้ ทำอย่างไรถึงจะให้ได้เข้าใจ หรือว่าจะให้เขาพ้นจากความทุกข์นั้น
ท่านอาจารย์ เขาไม่รู้เลย ว่าถ้าเขาไม่เคยเห็นคนๆ นี้ ความรักอย่างนี้จะมีไหม
ดี เจ บัญชร ไม่มี
ท่านอาจารย์ แต่เพราะเห็น ใช่ไหม
ดี เจ บัญชร ใช่
ท่านอาจารย์ แต่เขาไม่รู้ว่า เห็นนั้นดับแล้ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขามี คือความรัก รักสิ่งที่ไม่เหลือเลย หมดแล้ว แต่เพราะความไม่รู้ จึงเข้าใจว่ายังมีอยู่ เพราะยังหลงว่าสิ่งนั้นยังมีอยู่ จึงเป็นเหตุให้ติดผูกพัน ติดข้อง เพราะฉะนั้นความติดข้องมีจริงๆ ใครไม่มี พระโสดาบันยังมีเลย พระอนาคามีบุคคลอีกขั้นระดับหนึ่ง ถึงความเป็นพระอรหันต์เท่านั้น ที่ไม่มีความติดข้อง
เพราะฉะนั้นกิเลสแต่ละอย่าง กว่าจะดับได้ มันไม่ใช่เราทำอย่างไร จะเป็นอย่างไร แต่ความไม่รู้ นำมาซึ่งกิเลสทั้งหลายหมดเลยทุกประเภท ความสำคัญตน ความรักตน ความอยากหายจากความทุกข์ อะไรต่ออะไรทั้งหมด เพราะความไม่รู้ว่า เหตุมาจากอะไร ถ้าไม่ดับเหตุ จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะให้สิ่งนั้นไม่มี
อย่างถ้าไม่มีเราจริงๆ ก็รู้แต่ว่า เพราะเราไปพอใจติดข้อง เพราะมันไม่ปรากฏการเกิดดับ แต่ถ้าปรากฏการณ์เกิดดับ เพียงเป็นพระโสดาบัน ก็ยังไม่สามารถที่จะละความรัก ความผูกพัน ความต้องการยึดมั่น ที่สะสมมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ ถ้าได้ทราบว่า กว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์นานเท่าไร แม้จะได้รับคำพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าทีปังกร ว่าท่านสุเมธดาบส ซึ่งจะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ อีก ๔ อสงไขยแสนกัป จะได้ตรัสรู้สิ่งที่เรากำลังได้ฟัง ก็จะเห็นได้เลย ใช่ไหม
ตราบใดที่ไม่ใช่ความรู้จริงๆ ประจักษ์แจ้งจริงๆ อริยสัจจะ ทุกขอริยสัจจะ ได้แก่ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น และดับไป ถ้าไม่ประจักษ์อย่างนี้ เราก็ยังติดข้อง ฟังเท่าไรก็ยังเป็นสิ่งนั้นที่ยั่งยืนอยู่ แล้วจะไปบอกเขาว่า ไม่ให้ติดข้องได้อย่างไร เพราะเขาไม่ได้รู้ความจริง
ดี เจ บัญชร ไม่สามารถทำอะไรได้
ท่านอาจารย์ แต่ถ้าไม่เริ่มเข้าใจเสียวันนี้ เมื่อไรจะถึงวันนั้น ยากที่สุด ไม่มีใครที่ถึงความเข้าใจพระพุทธศาสนา แล้วจะบอกว่าไม่ยาก ไม่ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมี มาถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระคุณของพระธรรมแต่ละคำ ที่ทำให้เราได้เข้าใจ สิ่งซึ่งอยู่ในความมืดสนิท ต่อให้เห็นอย่างไร ก็ไม่ได้เห็นความจริงของสิ่งนั้น ได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง จนในครั้งนั้น มีผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นพระอรหันต์กันก็มาก ถ้าไม่ถึงระดับนั้น ก็เป็นพระอนาคามี เป็นพระสกทาคามี เป็นพระโสดาบัน หรือเป็นกัลยาณปุถุชน ถึงแม้ว่าจะยังมีกิเลสอยู่ แต่ก็มีคุณความดีที่ได้เข้าใจพระธรรม ที่จะนำไปสู่การที่จะดับกิเลสได้
พระธรรมยังอยู่ แต่ว่าหนทางที่จะได้ถึงระดับที่คุณบัญชรต้องการ คือให้เขาพ้นทุกข์ ไม่ให้มีความรัก ไม่ให้มีความติดข้อง ต้องเป็นปัญญาระดับที่ถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล นางวิสาขามิคารมารดา ที่ท่านเป็นเอตทัคคะ ทางให้ทานอุบาสิกา ท่านก็มีครอบครัว มีลูก มีหลาน ใช่ไหม กิเลสดับหมดทันทีไม่ได้เลย ต้องดับความไม่รู้ที่เกิดพร้อมกับความเห็นผิด ที่ยึดมั่นว่าเป็นเราเสียก่อน
เพราะฉะนั้นบางสิ่งบางอย่างทั้งๆ รู้ว่า ไม่ใช่ของจริง ก็ยังเป็นที่พอใจได้ เพชรเก๊ บางคนก็ชอบ ไข่มุกปลอม ใช่ไหม บางทีก็เหมือนจริงเลย จะไม่ชอบได้อย่างไร มันเหมือนอย่างนั้น แต่ก็รู้ว่ามันไม่จริง ก็ยังชอบ เหมือนกับถ้าได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมแล้ว แต่กิเลสที่สะสมมามากมายมหาศาล ยังไม่สามารถที่จะละความยึดมั่นได้ เพราะฉะนั้นใครจะหมดทุกข์ เพราะความรัก เพราะความติดข้อง เพราะยังอะไรอยู่ก็ตามแต่ ก็ต้องมีปัญญาถึงระดับนั้น
เพราะฉะนั้นจะช่วยเขา ก็คือว่า ให้เขาค่อยๆ เข้าใจความจริง ถ้าเขาอยากจะพ้นทุกข์ หรือใครก็ตามที่ต้องการรู้ความจริง แม้ว่ายังไม่อยากที่จะดับ ไม่มีการเกิดอีก แต่ให้รู้ความจริง เข้าใจว่าอะไรถูก อะไรผิด ก็จะช่วยให้ชีวิต เป็นไปในทางที่เป็นสิ่งที่ดีงาม ไม่นำมาซึ่งความทุกข์แก่ตัวเอง และคนอื่น เพราะฉะนั้นโลกก็จะอยู่ได้สบายกว่านี้ ใช่ไหม ถ้าไม่มีทุจริต แม้ว่าจะมีโรคร้ายต่างๆ กำลังเบียดเบียนอยู่ แต่จิตใจที่มั่นคง ไม่หวั่นไหว และก็ช่วยเหลือกัน ดูแลซึ่งกัน และกัน ก็จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ตามสมควรแก่เหตุ
ดี เจ บัญชร ทำอย่างไรให้คนที่กำลังอยู่ในความทุกข์ เปิดใจฟังสิ่งเหล่านี้
ท่านอาจารย์ ต้องบอกเขา แล้วก็ดูว่าเขาสะสมมาหรือไม่ ที่จะเห็นประโยชน์ของพระธรรม แม้สักคำหนึ่ง บางคนคำเดียวก็ไม่เอา ไม่ฟังเลย เหมือนกับเสียเวลา เหมือนกับไร้ค่า แต่หารู้ไม่ว่า กว่าจะได้ยินคำนี้ ต้องเป็นผู้ที่รู้ว่าอะไรชั่ว อะไรดี และมีความมั่นคงที่จะหาทาง ที่จะให้ความไม่ดีที่มีอยู่ ไม่กำเริบ ไม่สามารถที่จะทำสิ่ง ซึ่งเป็นอันตรายทั้งกับตนเอง และคนอื่นได้
ต้องฟังในเหตุผล เพราะฉะนั้นจริงๆ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ถ้าเราเริ่มสอนกันตั้งแต่ยังเด็ก เขาเริ่มเข้าใจได้ ทีละเล็กทีละน้อย ไม่ใช่มากมาย ไปให้เขาเรียนหนังสือ มีอริยสัจธรรม แต่ว่าไม่ได้รู้อะไรเลย ได้แต่ชื่อ
ดี เจ บัญชร ผู้ที่สอนก็อาจจะไม่เข้าใจด้วยหรือเปล่า
ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะเหตุว่าถ้าเข้าใจ ทุกคำถูกต้องตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว สอบทานได้ กับคำที่จารึกไว้เป็นพระไตรปิฎก และสิ่งที่กำลังปรากฏว่าต้องตรง
ดี เจ บัญชร ภัยที่เราควรจะต้องกลัวจริงๆ หรือว่าเราจะผ่านความกลัวตรงนี้ได้ ก็คือ เรื่องของความไม่รู้ ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะเหตุว่าถ้ามีความไม่รู้ หรือรู้ผิด เข้าใจผิด ทำลายความจริง ต้องขอโทษที่จะกล่าวถึงสำนักปฏิบัติ ไม่ทราบคุณบัญชรจะรับฟังหรือไม่
ดี เจ บัญชร ได้ เชิญอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าในพระพุทธศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ให้ใครไปที่ไหน เพื่อที่จะไปนั่งหลายชั่วโมง หรือว่าไปนอน หรือไปยืน แล้วรู้อะไร เพราะว่าพระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีมา กว่าจะได้ตรัสรู้ นานเท่าไร ขณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ทีปังกร พยากรณ์ท่านสุเมธดาบส ซึ่งจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ว่าอีก ๔ อสงไขย ท่านผู้นี้จะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าพระสมณโคดม ชาวเมืองนั้นที่ได้ฟัง ปลาบปลื้มดีใจว่า ถึงแม้เขาจะไม่สามารถรู้แจ้งความจริงในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกร ก็ยังมีสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ที่เขายังสามารถที่จะเข้าใจได้ ซึ่งกว่าที่สุเมธดาบส แต่ละชาติที่จะผ่านมาถึง ๔ อสงไขยแสนกัป ได้เฝ้า ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒๔ พระองค์ แต่เขาคอยได้ แต่คนสมัยนี้ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น แล้วก็ไป แล้วก็ทำสิ่งที่ถูกบอกให้ทำ เข้าใจหรือเปล่า ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย แล้วทำได้ ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจ แล้วก็หวังว่าอะไร แต่ถ้าถามคนที่ทำแล้ว ทำแล้วได้อะไร สิ่งที่ตอบก็คือว่า สบายใจ สำหรับคนที่ไม่รู้อะไรเลย สำหรับคนที่ฟังธรรม ก็ไปหวังว่า จะประจักษ์การเกิดดับ จะหมดกิเลส จะได้รู้แจ้งสภาพธรรม เอามาจากไหน ฟังยังไม่ได้เข้าใจอะไรเลย แล้วจะไปเอาปัญญาที่ไหนรู้สภาพธรรมเดี๋ยวนี้ ซึ่งกำลังเกิดดับ โดยไม่ต้องไปไหนเลย เพราะเป็นปัญญา
นี่ก็ต่างกันแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็เป็นที่เริ่มรู้กัน ชาวพุทธ คือ ใคร หมายความว่าอะไร พุทธะคือปัญญา ถ้าไม่มีปัญญารู้ว่า ความจริง คือ อะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่าอย่างไร เขาเป็นชาวพุทธหรือเปล่า เพราะพุทธะคือผู้รู้ นี่คือ เราต้องเป็นคนตรง และยอมรับความจริงที่จะแก้ไข เพราะเหตุว่าถ้าทำไปโดยไม่รู้ ผลก็คือไม่รู้ และความไม่รู้ก็นำมาซึ่งโทษนานาประการ
ดี เจ บัญชร ถ้าอย่างนั้นการที่ไปชักชวนกัน ไปปฏิบัติ ไปนั่งสมาธิ ไปฟังธรรม เราไม่สามารถถือเป็นการเริ่มต้น ที่จะเรียนรู้พระพุทธศาสนาเลยหรือ
ท่านอาจารย์ สำนักปฎิบัติ ทำอะไร ไปแล้วทำอะไร
ดี เจ บัญชร ไปนั่งแล้วก็
ท่านอาจารย์ นั่งทำไม เดี๋ยวนี้ก็นั่ง
ดี เจ บัญชร ทำตามหลักการที่ท่านสอน
ท่านอาจารย์ ใครคือท่านสอน
ดี เจ บัญชร ครูสมาธิสอน
ท่านอาจารย์ ครูสมาธิคือใคร
ดี เจ บัญชร ตอบยาก
ท่านอาจารย์ เป็นพระ
ดี เจ บัญชร ใช่
ท่านอาจารย์ แล้วก็ไปกัน เพราะฉะนั้นไปด้วยความไม่รู้ ผลก็คือไม่รู้
ดี เจ บัญชร เพราะเราไม่รู้ เราก็ถือท่าน เป็นครูผู้รู้
ท่านอาจารย์ แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอย่างไร
ดี เจ บัญชร เราไม่ได้ศึกษาพระธรรมอย่างเข้าใจได้ด้วยตัวเอง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นผิดไหม ถ้าเข้าใจด้วยตัวเอง
ดี เจ บัญชร ผิดไหม ถ้าเข้าใจด้วยตัวเอง
ท่านอาจารย์ ไม่ต้องศึกษาคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งลึกซึ้ง
ดี เจ บัญชร ถ้าไม่ศึกษาคำของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่นับว่าเป็นพุทธศาสนา
ท่านอาจารย์ แน่นอน แล้วคนที่ไปสำนักปฏิบัติ ฟังคำอะไร ของใคร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ให้ใครไปนั่ง ไม่ได้ให้ใครไปยืน ไม่ได้ให้ใครไปอดหลับอดนอน หรืออะไรอย่างนั้น ใช่ไหม มีวิปัสสนาจารย์ท่านหนึ่ง คุณธวัลรัตน์ ตอนนี้ก็ไม่เป็นวิปัสสนาจารย์แล้ว เพราะเหตุว่าได้ค่อยๆ เข้าใจความจริง รู้เลยว่าผิดทั้งหมด เพราะว่าเวลาไม่รู้จะสอนอะไร ก็สอนให้คนที่ไปปฏิบัติถอนหญ้า แล้วรู้อะไร
ดี เจ บัญชร ถอนหญ้า จะรู้อะไร
ท่านอาจารย์ นั่นสิ ก็เพราะเขาไม่รู้ไง แต่เขาเป็นวิปัสสนาจารย์ มีใบประกาศตั้งหลายใบ
ดี เจ บัญชร ถ้าอย่างนั้น ที่ไหน ที่จะทำให้รู้คำของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
ท่านอาจารย์ พระธรรมได้แสดงไว้ครบถ้วน ทั้งพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม สอดคล้องกันทั้งหมด พูดถึงสิ่งที่มีจริงทุกกาลสมัย แม้เดี๋ยวนี้ก็จริง และจริงตลอดไป
ดี เจ บัญชร คือ เรียนพระไตรปิฎก
ท่านอาจารย์ แน่นอน ศึกษาด้วยความเคารพ เพราะว่าเมื่อทรงตรัสรู้ ตรัสว่า ธรรมลึกซึ้ง ยากที่จะรู้ได้ นี่คือคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้ตรัสรู้แล้ว แล้วเราไม่คิดถึงคำนี้เลย กว่าจะบำเพ็ญบารมี กว่าจะรู้ความจริง รู้ความจริงแล้วก็ตรัสคำนี้ ขณะที่ตรัส เห็นความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ที่กล่าวว่าไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดง ไม่ใช่ว่าพระองค์จะไม่ทรงแสดง แต่ขณะที่ความลึกซึ้งอย่างนั้น ที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว ทำให้รู้ถึงความลึกซึ้งว่า ยากที่จะรู้ได้ แต่คนที่รู้ได้ มี จึงทรงแสดงธรรม และพรหมก็ได้มาอาราธนาให้แสดงด้วย
ดี เจ บัญชร เมื่อเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนมาก และเข้าใจได้ยาก เราจะทำความเข้าใจได้อย่างไร จากที่ไหน
ท่านอาจารย์ คุณบัญชรได้ยินคำว่า บารมี ใช่ไหม
ดี เจ บัญชร ได้ยิน
ท่านอาจารย์ แล้วหมายความว่าอะไร เห็นไหม แต่ละคำ เราไม่ได้คิดถึงความลึกซึ้งของคำนั้นเลย ปาระคือฝั่ง ปารมีคือถึงฝั่ง ฝั่งไหน ฝั่งนี้เต็มไปด้วยกิเลส กิเลสอยู่ที่ไหน อยู่ในใจ และกว่าใจจะสละกิเลสถึงอีกฝั่งหนึ่ง ซึ่งไม่มีกิเลสเลย นานเท่าไร บารมีทั้งหมด ไม่ใช่ว่าไม่มีบารมี ไม่ฟังธรรม ไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น ไม่มีวิริยะ ไม่มีความเพียร ไม่มีสัจจะ ความจริงใจ ไม่มีอธิษฐาน ความมั่นคง แน่วแน่ที่จะรู้ความจริง ทั้งหมดไม่มีเลย แล้วจะละความทุกข์ จะไปสำนักปฏิบัติ จะไปทำอะไร คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่ไหน พระองค์ตรัสเรื่องบารมีหรือเปล่า พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีเท่าไร จึงสามารถที่จะรู้ความจริงได้ แม้พระอัครสาวกทั้งหลาย พระมหาสาวกทั้งหลาย ต่างก็บำเพ็ญบารมีมาทั้งนั้น และคนสมัยนี้เข้าใจไหม เข้าใจอะไรสักคำไหม แต่ก็ชวนกันไปสำนักปฏิบัติ เพราะฉะนั้นนี่เป็นภัยหรือเปล่า
ภัยไม่ใช่แค่โรคนี้ ซึ่งไม่กี่วันก็อาจจะหายได้ หรือจะเป็นอย่างไร เท่าไร ก็ตามเหตุปัจจัย แต่ยังหายได้ แต่ ภัยคือความไม่รู้ จะหายไปได้อย่างไร สะสมมากขึ้นๆ เพิ่มขึ้น ถ้าไม่รู้จักพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บำเพ็ญบารมีมาเพื่อใคร ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อใคร เพื่อแสดงธรรม ที่พระองค์ตรัสรู้ กับคนที่สามารถเข้าใจได้ เพราะเขาคิดเองไม่ได้แน่ ธรรมลึกซึ้งอย่างยิ่ง
ดี เจ บัญชร พระพุทธศาสนา มีภัยไหม
ท่านอาจารย์ มี
ดี เจ บัญชร คือ อะไร
ท่านอาจารย์ ความเห็นผิด
ดี เจ บัญชร อย่างไร
ท่านอาจารย์ เห็นว่าพระพุทธศาสนาง่าย เห็นว่าไม่ต้องศึกษา เคยได้ยินไหม
ดี เจ บัญชร ไม่ต้องศึกษา
ท่านอาจารย์ ธรรมลึกซึ้งอย่างยิ่ง ต้องศึกษา เห็นไหมก็ต่างกันแล้ว คนที่ไม่ศึกษา ทำไมไม่ศึกษา คิดเอง จะมีปัญญาเท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ สักคำเดียว ตอบไม่ได้เลย ธรรมคืออะไร ก็ตอบไม่ได้ อริยสัจจะคืออะไร อริยสัจธรรมด้วย ทุกอย่างเป็นธรรมทั้งหมด ธรรมมีทั้งกุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรม งานศพก็ได้ยินกันเสมอ ใช่ไหม กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพยากตา ธัมมา แล้วอย่างไร ใครฟัง ใครเข้าใจ ใครรู้ แล้วก็ไปสำนักปฏิบัติ เขาคิดว่าสามารถจะทำให้คนอื่นหมดกิเลสได้หรือ ในเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา มากกว่าใคร เกือบจะเรียกได้ว่า เกือบตลอดทั้งวัน เช้า สาย บ่าย ค่ำ ดึก เทวดามาเฝ้าทูลถามปัญหา ไม่อย่างนั้นเราไม่มีโอกาสได้ยินสักคำ ถ้าไม่ทรงตรัสรู้ ไม่ทรงแสดงไว้
เพราะฉะนั้นไม่ว่าใครจะกล่าวว่าอะไรก็ตามแต่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าอย่างไร ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สังขารธรรมทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารธรรมทั้งหลายเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่ละคำต่างกัน ใช่ไหมสังขารธรรม สังขารธรรม แต่คำสุดท้ายไม่เว้นเลย คือ ธรรมทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นสังขารธรรมหรือวิสังขารธรรม หรืออสังขตธรรม ทั้งหมดนี้เป็นพระมหากรุณาอย่างยิ่ง ที่จะแสดงให้ละเอียด เพราะรู้ว่าความไม่รู้ของคนสะสมมานานมาก นี่คือภัยใช่ไหม ที่ไม่รู้เลย ว่าอะไรเป็นอะไร จึงได้ทำสิ่งที่ไม่ดี ทุจริตทุกวงการ เพราะอะไร แล้วจะแก้ไขกันอย่างไร ถ้าไม่เข้าใจความจริงก็แก้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้ความจริง จะเป็นคนดีได้ไหม จะเว้นความชั่วได้ไหม
ดี เจ บัญชร ที่สุดแล้ว ภัยที่เกิดขึ้นแก่พระพุทธศาสนา ถ้าถึงที่สุดแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
ท่านอาจารย์ ใช้คำว่า พระพุทธศาสนา หมายความว่า เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นภัยที่จะเกิดแก่พระพุทธศาสนา คือ ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการไม่ศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพ ที่จะต้องเป็นผู้ที่ละเอียด และเคารพอย่างยิ่ง ที่จะต้องไตร่ตรองพระธรรมทั้งหมด แต่ละอย่าง แต่ละคำ ให้สอดคล้องกันทั้ง ๓ ปิฎก
ถ้ากล่าวว่าทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม ก็มีคนไปบอกว่า บางอย่างเป็นอัตตา พูดได้อย่างไร ในเมื่อพระองค์ตรัสว่า ธรรมทั้งหลายไม่เว้นเลย เป็นอนัตตา และก็มีคนบอกว่าบางอย่างเป็นอัตตา เขาเป็นใคร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร และความจริงลองพิจารณา อะไรถูกต้อง ใครบังคับบัญชาอะไรได้ ไม่ให้โกรธได้ไหม ไม่ให้ติดข้องได้ไหม ไม่ให้ทุจริตได้ไหม ไม่ให้เห็นได้ไหม กำลังได้ยินอย่างนี้ ไม่ให้ได้ยินได้ไหม เห็นไหม ไม่เข้าใจในความเป็นอนัตตาของทุกอย่าง ซึ่งเกิดได้เมื่อมีเหตุปัจจัยที่เหมาะสมเท่านั้น ถ้าไม่มีปัจจัยที่สมควร ก็เกิดไม่ได้ ไม่มีตา จะให้ไปทำอย่างไรให้เห็น ไม่มีทาง หรือมี
ดี เจ บัญชร ไม่มี
ท่านอาจารย์ ไปหาหมอวิเศษ คิดว่าจะทำได้ ถ้าไม่มีกรรม ที่จะทำให้จักขุปสาทเกิดขึ้น ใครก็ทำไม่ได้ เพราะแม้แต่รูป สิ่งที่ไม่สามารถจะรู้อะไรเลย เป็นรูปธรรม บางรูปเกิดจากกรรม บางรูปเกิดจากจิต บางรูปเกิดจากอุตุ ความเย็น ความร้อน บางรูปเกิดจากอาหาร นี่เป็นเหตุที่สัตว์โลกอยู่ได้ด้วยอาหาร ที่กลืนกินเข้าไป นั่นก็เป็นอาหารหนึ่ง แต่ยังมีอาหารอื่นอีก
ดี เจ บัญชร ดูเหมือนคำตอบของท่านอาจารย์สุจินต์ ก็มีอยู่ในตัวแล้ว ว่าภัยที่ทำให้เราไม่รู้ ไม่รู้แม้แต่พระพุทธศาสนา ถ้าจะหาทางออก ถ้าจะป้องกันภัยที่จะเกิดขึ้น เราต้องศึกษาพระธรรมให้ครบถ้วน
ท่านอาจารย์ ศึกษาครบด้วยความเคารพ ที่จะต้องเข้าใจให้ถูกต้อง แล้วช่วยกันทะนุบำรุงคำสอน ที่ถ้าอันตรธานแล้วก็อีกนานแสนนาน ยากที่จะมีการได้ยิน ได้ฟังอีกในสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด แต่ถ้าเรามีสำนักปฏิบัติ หรือว่ามีการศึกษาโดยคนโน้นเป็นผู้บอกอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ว่าไม่ใช่สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว นั่นคือการทำลายคำสอนของพระองค์ เป็นภัยไหม
ดี เจ บัญชร เป็นภัย
ท่านอาจารย์ และก็ทุกอย่างเลย ไม่มีภัยอะไรเท่ากับความไม่รู้ เพราะว่าทุกคนอยากดี อยากสุข อยากสบาย แต่ไม่รู้ ก็ทำเหตุที่ไม่ดี มีโรคภัยต่างๆ เกิดขึ้นทั่วโลก และจะกันอย่างไร จะแก้อย่างไร ถ้าเป็นสิ่งที่เกิดจากอุตุ แก้ได้ไหม ใช่ไหม ก็มีการศึกษาวิชาการต่างๆ แต่สิ่งที่ใครไม่สามารถที่จะรักษาได้ ก็คือกรรม ถ้าเป็นกรรมชั่ว ทำอย่างไรก็จะให้ผลที่ดีไม่ได้
ดี เจ บัญชร ถ้าเป็นกรรมดี ก็จะดี
ท่านอาจารย์ ใครจะห้ามไม่ให้ผลดีเกิดก็ไม่ได้ เราก็เห็นกันอยู่ ใช่ไหม เกิดมาหลากหลายต่างกันทุกอย่าง รูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ ฐานะ ยศถาบรรดาศักดิ์ เกียรติยศ ความรู้ ทุกประการหมดเลย ไม่ซ้ำเลยสักหนึ่ง แม้ในคนๆ เดียว นี่คือความละเอียดอย่างยิ่งของธรรม จิตขณะหนึ่งเกิดแล้วดับแล้วไม่ได้ซ้ำกับขณะต่อไปที่จะเกิด ปัจจัยที่ปรุงแต่ง จากการที่จิตนั้นเกิด แล้วเห็นอะไร รู้อะไร คิดอะไรอย่างนี้ สืบทอดไปถึงจิตขณะต่อไป
เพราะฉะนั้นจึงมีวิชาการต่างๆ ทางโลกมากมายมหาศาล ไม่รู้จบ แต่ทางธรรมลึกซึ้งอย่างยิ่ง กว่านั้นมากมาย และก็ไม่ศึกษาเลย เพราะฉะนั้นนับวันก็จะหมดไป ถ้าไม่มีการรักษาไว้ ด้วยความเคารพ คือ ต้องเป็นผู้ตรงต่อความจริง และต่อคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ เพราะได้ตรัสรู้ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีใครที่จะรู้ยิ่งกว่าพระองค์ ในสากลจักรวาล มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เพียงครั้งละหนึ่งพระองค์เท่านั้น
ดี เจ บัญชร สาธุ เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ได้สนทนากับอาจารย์ แล้วก็ได้รับความรู้ ความคิดเพิ่มเติม ซึ่งก็มีหลายสิ่งหลายอย่าง ที่ต้องไปพิจารณาต่อ ไปศึกษา ไปเรียนรู้ต่อ เหมือนที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวเรื่องของการศึกษาพระธรรมอย่างเคารพ แล้วก็ศึกษาให้ครบถ้วน ทั้ง ๓ ปิฎก
ท่านอาจารย์ เพราะถึงอย่างไร ทุกคนก็ต้องจากโลกนี้ไป จะด้วยโรคที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ขณะนี้หรือไม่ หรืออะไรก็ตามแต่ แต่ก็ต้องตายกันทุกคน แล้วก่อนตายเราจะไม่มีอะไรที่จะไปถึงชาติต่อไป ที่เป็นคุณความดี และความเข้าใจถูกต้องหรือ ในเมื่อมีโอกาส มัวแต่กลัวอย่างอื่น ใช่ไหม แต่ไม่กลัวความไม่รู้ ลองเทียบกันดูแล้ว ความไม่รู้น่ากลัวกว่าเท่าไร
ดี เจ บัญชร จริง ความไม่รู้ ผมไม่ได้ยินใครพูดถึง ความกลัวความไม่รู้
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่รู้ก็ไม่กลัว
ดี เจ บัญชร ในขณะที่กลัวทุกสิ่งทุกอย่างตลอดเวลา กลัวความมืด กลัวผี กลัวจน กลัวเจ็บ กลัวอาย แต่ไม่ได้ยินใครพูดว่า กลัวความไม่รู้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะพ้นจากโทษภัยต่างๆ ได้ไหม ในเมื่อไม่รู้
ดี เจ บัญชร ไม่ได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นโลกก็เป็นอย่างนี้ เท่าที่เราเห็น เพราะฉะนั้นพระธรรม คือ ความเข้าใจ ความรู้ เป็นประโยชน์ทั้งกับตนเอง และผู้อื่นด้วย ประโยชน์แค่ไหน
ดี เจ บัญชร ประโยชน์ ประโยชน์ทั้งมวล
ท่านอาจารย์ ตนเอง และกับคนอื่นด้วย
ดี เจ บัญชร ก็คือทุกคน
ท่านอาจารย์ ถ้าทุกคนเป็นอย่างนี้ ก็ประโยชน์มหาศาล
ดี เจ บัญชร ท้ายที่สุด อาจารย์สุจินต์จะบอกถึงพุทธศาสนิกชน ว่าอย่างไรบ้าง
ท่านอาจารย์ เป็นผู้ตรงๆ พุทธะ คือ ผู้รู้ รู้สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง เพื่อให้เราได้มีความเข้าใจ จากสิ่งซึ่งเราไม่สามารถที่จะคิดเองได้เลย เพราะฉะนั้นการศึกษาแต่ละคำ ต้องละเอียดลึกซึ้ง แล้วก็ต้องเข้าใจโดยตลอด ถ่องแท้ทั้ง ๓ ปิฎกที่สอดคล้องกันด้วย ไม่ใช่ยุคนี้ สมัยนี้ พระรับเงินได้ ได้อย่างไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้วทุกประการ ว่าชีวิตที่ละเพศคฤหัสถ์ สละแล้วจากความสุข สนุกสนาน อย่างเพศคฤหัสถ์ แล้วจะกลับไปรับเงินทองได้อีกหรือ เพราะเหตุว่าการบวชเป็นพระภิกษุ บรรพชา หมายความว่า สละทั่วทุกอย่าง
เพราะฉะนั้นถ้าได้ศึกษาพระวินัยจริงๆ จะรู้ว่าเป็นไปเพื่อการขัดเกลา เพราะเห็นโทษของความไม่รู้ และกิเลส นั่นคือสาวก ท่านใช้คำว่า เป็นบุตรของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เกิดจากพระอุระ จากปัญญา ความรู้ของพระองค์ ซึ่งสามารถที่จะให้คนอื่น สามารถเห็นคุณประโยชน์ ของการที่จะสละเพศคฤหัสถ์ สู่เพศที่มุ่งที่จะศึกษาพระธรรม และอบรมเจริญปัญญา เพื่อขัดเกลากิเลส ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งกับตนเอง และคนอื่น และโลกด้วย แต่นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งไม่ใช่สำหรับทุกคน เพราะว่าคฤหัสถ์ก็จะไม่มีอัธยาศัย ที่จะไปมีชีวิตอย่างบรรพชิต สามารถเข้าใจธรรม เป็นพระโสดาบัน อย่างหมอชีวกโกมารภัจจ์ คฤหัสถ์ในครั้งนั้นก็เป็นพระอริยบุคคลกันมากมายหลายท่าน แล้วก็สามารถที่จะรู้ความจริง ถึงความเป็นพระอนาคามี ยังคงอยู่ในเพศคฤหัสถ์ได้ ต่อเมื่อไร บรรลุคุณธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว จะไม่ครองเรือน จะต้องสละเพศคฤหัสถ์ สู่เพศบรรพชิต
เพราะฉะนั้นผ้ากาสาวพัสตร์ ซึ่งเป็นเพศบรรพชิต คือ เครื่องหมายของพระภิกษุที่เป็นอรหันต์ แต่ถ้ายังไม่เป็น ก็ศึกษาเพื่อขัดเกลากิเลส ทั้งๆ ที่เป็นฆราวาส คฤหัสถ์ก็ศึกษาได้ แต่ต้องเป็นไปตามอัธยาศัย คือ เหตุปัจจัยที่ได้สะสมมา เพราะฉะนั้นพุทธบริษัทจึงมี ๔ ในครั้งโน้น ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา แต่ในยุคนี้ โดยที่พระองค์ทรงเห็นว่า ผู้หญิงไม่เหมาะที่จะเป็นเพศบรรพชิต แต่ในครั้งนั้นเมื่อท่านพระอานนท์ทูลขอว่า ผู้หญิงสามารถที่จะบรรลุคุณธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ ในกาลนั้น ก็ทรงอนุญาต แต่เคร่งครัดมาก ในการที่จะให้เป็นพระภิกษุณี จนกระทั่งพระภิกษุณี ก็ค่อยๆ หมดสิ้นไป ด้วยการยากลำบาก ต่อการที่จะบวชเป็นภิกษุณีได้
ยุคนี้สมัยนี้ พุทธบริษัทก็คือ ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ถ้าเป็นผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา พุทธะ คือ ผู้รู้ รู้ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ และทรงพระมหากรุณาแสดงธรรม ให้เราได้เริ่มเข้าใจความลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพื่อดำรงพระธรรมไว้ เพื่อต่อๆ ไป ไม่ใช่แต่เฉพาะในยุคนี้สมัยนี้ ตราบเท่าที่พระศาสนาจะดำรงอยู่ได้ เพื่อประโยชน์แก่ตนเอง และคนอื่น และชาวโลก น่าเสียดายถ้าจะไม่มีใครศึกษา พระศาสนาก็อันตรธาน
ดี เจ บัญชร กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์มากครับ
ท่านอาจารย์ ขอบคุณค่ะ