รักษาโรคทางใจด้วยพระธรรม


    สนทนาธรรม ที่ สถาบันบำราศนราดูร

    วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๔


    ท่านอาจารย์ พระธรรมเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง แม้แต่เพียงจะได้ยินคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เรากล่าวคำนอบน้อมเมื่อสักครู่นี้ ก็ยากที่มีบุคคลใดจะเข้าถึงพระคุณ เเม้ว่าเป็นพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ถ้าไม่มีผู้บูชา สิ่งนั้นก็หาเป็นรัตนะไม่ จริงไหม เพราะฉะนั้นการที่เราจะรู้ว่าสิ่งใดเป็นรัตนะที่แท้จริง ก็คือว่า ได้เข้าใจความเป็นรัตนะ ไม่ใช่เพียงแต่เขาว่า แล้วเราก็ว่าตาม โดยที่ไม่เห็นความเป็นรัตนะของสิ่งที่เราได้กล่าวบูชาเลย

    ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ เพื่อที่จะให้บุคคลอื่น มีโอกาสได้เข้าใจธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงตลอดเวลา ตั้งแต่เริ่ม หลังจากที่ตรัสรู้ไม่นาน แล้วก็ใกล้ที่จะปรินิพพาน เป็นเวลายาวนานมาก ๔๕ ปี ใน ๔๕ ปีนี้ ไม่มีใครที่จะทำการสงเคราะห์ อนุเคราะห์บุคคลอื่นเท่ากับพระองค์ ทั้งวันตั้งแต่เช้า สาย บ่าย เย็น ค่ำ เพราะฉะนั้นผู้ที่ฟังพระธรรม ก็จะเห็นในพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ ซึ่งทำให้เรามีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟังคำ ซึ่งแม้พระผู้มีพระภาค จะตรัสด้วยพระองค์เอง ๒,๕๐๐ กว่าปี ก็ยังเป็นวาจาสัจจะ ความจริงมีหลายอย่าง แต่ความจริงที่กล่าวด้วยวาจา เพื่อที่จะให้คนอื่นได้ยินได้ฟัง และได้เข้าใจ ก็จะนำไปสู่ปัญญา ความเข้าใจถูกต้อง จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าใจ สิ่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้เพื่ออนุเคราะห์เราให้เข้าใจ ไม่ใช่เพื่อประโยชน์อื่นเลย

    เพราะฉะนั้นเวลาทุกขณะที่ฟังสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ไม่ว่าจะเรื่องอะไรทั้งสิ้น ประโยชน์คือเข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นแต่ละขณะ ขณะนี้ ถ้าสามารถที่จะได้เข้าใจสิ่งที่ได้ฟัง ก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะว่าฟังอะไรเเล้วไม่เข้าใจ เราก็จะเสียเวลาจริงๆ เวลานั้นก็จะเอาไปทำสิ่งอื่น ซึ่งมีประโยชน์กว่า แต่ถ้าได้ฟังแล้ว มีความเข้าใจในสิ่งนั้น ก็ย่อมเป็นประโยชน์ และโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัส และทรงแสดง และรวบรวมไว้เป็นพระไตรปิฎกก็หายาก เพราะว่าโดยมากบางคนจะกล่าวว่า ไม่มีเวลา หรือว่าเวลาน้อย หรือว่าฟังแล้วยากไปบ้าง ก็เลยไม่ฟังต่อไป แต่ถ้าง่ายจะฟังไหม ฟังอะไรที่ง่ายๆ จะฟังไหม แต่ถ้าฟังธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ซึ่งกว่าจะได้ทรงตรัสรู้ ทรงบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัป เพื่อที่จะได้เข้าใจความจริง

    เพราะฉะนั้นแต่ละคน ต้องไตร่ตรองสิ่งที่ได้ฟัง โดยละเอียด โดยลึกซึ้ง ที่จะสนทนากันวันนี้ ก็เพื่อเข้าใจความจริง มีความจริงแน่ๆ แต่ว่าเมื่อยังไม่ได้ฟังพระธรรม ก็ไม่รู้ว่าความจริงนั้นคืออะไร ทั้งๆ ที่ความจริงก็เป็นความจริง จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ แต่เพราะไม่เคยได้ฟังธรรม แม้แต่บางคำก็ทำให้เรางง สับสน แล้วก็คิดไม่ออก เช่น ถ้าถามว่าเราฟังธรรม เพื่อเข้าใจความจริง ใครจะตอบ ว่าความจริงคืออะไร เดี๋ยวนี้มีความจริงหรือเปล่า แล้วฟังความจริงจะฟังที่ไหน ฟังเรื่องอะไร และฟังเมื่อไร หรือว่าจะฟังสิ่งอื่น ซึ่งไม่ใช่ความจริง จะฟังเรื่องเท็จๆ เรื่องหลอกลวง เรื่องไม่จริงดี หรือว่าจะฟังสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นความจริงแท้ เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย เพราะว่าเป็นความจริง ที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้

    เพราะฉะนั้นแม้เริ่มต้น ก็ควรคิด ควรไตร่ตรอง จะได้ไม่เสียโอกาสที่จะได้ได้ยินได้ฟัง และก็เป็นความเข้าใจของเราเองด้วย เพราะฉะนั้นขณะนี้ ความจริงคืออะไร และอยู่ที่ไหน ต้องไปหา ต้องไปค้นคว้า หรือว่าเมื่อฟังก็จะค่อยๆ เข้าใจว่า ความจริงคืออะไรในขณะนี้ ขณะนี้เป็นขณะที่จริงที่สุด เมื่อวานนี้หมดไปแล้ว พรุ่งนี้ก็ยังมาไม่ถึง เมื่อเช้านี้ก็หมดไป ตอนเย็นก็ยังมาไม่ถึง เพราะฉะนั้นความจริง ต้องคือความจริงเดี๋ยวนี้ และขณะนี้ ไม่มีอย่างอื่นที่จริงแท้แน่นอนกว่านี้ แล้วใครจะรู้ความจริงในขณะนี้ ถ้าไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ เป็นธรรม ฟังความจริง ต้องการรู้ความจริง ก็โดยที่ว่า เข้าใจถูกต้องว่าสิ่งที่มีจริง จริงแน่ๆ

    เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม ที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ เป็นธรรมทั้งหมด เพราะธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง เมื่อธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ขณะนี้จริง เพราะฉะนั้นขณะนี้เป็นธรรมนั่นเอง ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมที่ไหนเลย เพียงฟังประโยคแรก ธรรมคือสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ เดี๋ยวนี้ คนอื่นไม่สามารถที่จะให้ความจริงของธรรมในขณะนี้ได้เลย นักวิทยาศาสตร์ หรือว่าผู้ที่มีความรู้วิชาการสาขาต่างๆ ไม่ได้พูดถึงความจริงเดี๋ยวนี้ แต่พูดถึงความจริงที่คิดขึ้น ค้น และก็สามารถที่จะแสดงเป็นความรู้ต่างๆ แต่ว่าไม่ได้กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้เลย

    เพราะฉะนั้นแม้สิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ยังไม่เปิดเผย ก็ยังไม่รู้ว่าเป็นความจริงแค่ไหน สงสัยไหม อะไรจริงเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ศึกษาตอบไม่ได้เลย ถ้าจะบอกว่าเดี๋ยวนี้กำลังเห็น จริงหรือเปล่า จริง เป็นธรรมหรือเปล่า เป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งคนอื่นไม่รู้เลย เหมือนกับว่าไม่มีอะไร ในขณะที่กำลังเห็น เพราะไม่รู้ความจริง แต่ถ้ารู้ความจริง จะรู้ว่าความจริงไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย อยู่ที่เห็นนี่แหละ เป็นธรรมซึ่งเกิดแล้วก็ดับ แสดงให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่าง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

    เพราะฉะนั้นคำที่เราได้ยินบ่อยๆ คุ้นหูมา ยังไม่ลึกซึ้ง จนกว่าจะได้ฟังความละเอียดขึ้น แล้วคำที่จะได้ยิน ก็มีความหมายชัดเจนขึ้น เช่น ก่อนเห็นกำลังหลับสนิท ไม่มีเห็น แต่พอตื่น ลืมตามีเห็นจริงๆ โดยที่ว่าเราไม่ได้ทำเลย แต่ว่าสำหรับคนที่มีจักขุปสาท มีตาที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏเท่านั้น จึงสามารถที่จะเกิด เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ และสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ก็มีจริงๆ เคยเป็นคน เคยเป็นวัตถุต่างๆ เคยพอใจในสิ่งที่ปรากฏ เหมือนไม่ได้ดับไปเลย แต่คำจริงหรือวาจาจริง จากการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือ ขณะนี้เอง เห็นเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใครสามารถจะไปทำให้เห็นเกิดขึ้นได้เลย ถ้าไม่มีจักขุปสาท อย่างไรๆ ก็เห็นไม่ได้

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นความจริงที่ซ่อนเร้นอยู่ ว่าขณะใดก็ตามที่เห็นเกิดขึ้น เห็นนั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็เพียงเห็น แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก นี่คือ สิ่งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และวาจาจริงที่พระองค์ตรัส ก็คือว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เกิดแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก ตั้งแต่เกิดจนตายเป็นอย่างนี้มาตลอด ไม่มีอะไร ซึ่งตั้งแต่เกิดยังคงอยู่ เห็นเมื่อวานนี้ ก็หมดไปเมื่อวานนี้ เมื่อเช้านี้ก็หมดไปเมื่อเช้านี้

    เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า เป็นธรรม ซึ่งเราไม่เคยได้ยินได้ฟัง แล้วก็การที่เข้าใจความจริง คือว่าเข้าใจสิ่งที่มีจริง จนสามารถที่จะรู้ความจริง เเล้วก็ชีวิตจะเป็นสุขขึ้น เพราะเราอยู่โดยไม่รู้เลย ในความจริง ซึ่งเพียงแต่ไม่ใช่ของใคร มีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ฟังแค่นี้สำหรับวันแรก จะต้องติดตามต่อไปอีก เพื่อที่จะได้รู้ความจริง จริงๆ ว่า อะไรจริง และควรจะรู้ต่อไปหรือไม่ หรือว่าเกิดดับก็ไม่เห็นเป็นอะไร แล้วก็จากโลกนี้ไป โดยไม่รู้ความจริง ว่าไม่ใช่มีแค่เห็น เห็นแล้วยังติดข้อง พอใจในสิ่งที่เห็น มากมายมหาศาล ทำให้เกิดความสุข ความทุกข์ว่า อยากจะได้สิ่งที่ปรากฏให้เห็น รูปร่างสัณฐานต่างๆ ติดข้อง จนกระทั่งแสวงหา ถ้าไม่ได้ทางสุจริต ก็ทุจริต เพียงเพื่อต้องการสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา และเมื่อได้มาแล้ว ก็ยังพลัดพรากจากไปอีกด้วย ถึงแม้ว่าสิ่งนั้นยังไม่จากไปก่อน ตนเองก็ต้องจากสิ่งนั้น

    มีสมบัติอะไรในโลก ซึ่งคนในโลกนี้เอาไปได้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดๆ ก็ตาม ที่มีอยู่ตั้งแต่บรรพบุรุษ ซึ่งได้ชื่อว่าครอบครองมีสิ่งเหล่านั้น แต่ก็จากไปหมด ไม่มีใครเป็นเจ้าของอย่างแท้จริงของสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยสักอย่างเดียว เพียงแต่ว่าเกิดมาเห็น มีความไม่รู้มีความติดข้อง แล้วก็จากโลกนี้ไป โดยที่ว่าตั้งแต่เกิดจนตาย การกระทำเป็นไปในทางทุจริต สุจริต มีสุข มีทุกข์อย่างไรก็เท่านี้ เหมือนกับโรงละคร ซึ่งเปิดมา เล่นแสดงไปจนจบ และก็ออกจากเวทีไป

    เพราะฉะนั้นแต่ละคนเกิดมา ก็คือเพื่อเห็น เพื่อได้ยิน เพื่อโลภะ โทสะ เพื่อความติดข้องต้องการ เพื่อทำทุกสิ่งทุกอย่าง สุขบ้าง ทุกข์บ้าง แล้วก็จากโลกนี้ไป โดยที่ว่าไม่มีอะไรที่เป็นของเราเลยสักอย่างเดียว สมบัติก็เห็นชัดๆ ว่าตามไปไม่ได้ แม้แต่ร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ตามไปหรือเปล่า หรือว่าเป็นของเราจริงๆ หรือเปล่า หรือเพียงแต่ว่า ระหว่างที่ยังไม่เน่าเฟะ ก็ยังเป็นเราอยู่ ระหว่างที่ยังไม่ตาย มีจิตใจ มีความคิดนึก รูปร่างกายก็เคลื่อนไหวได้ ทำอะไรได้ แต่พอไม่มีจิต ที่เรียกว่าตาย รูปนี้ทำอะไรไม่ได้เลย เราอยู่ที่ไหน และก็ของเราอยู่ที่ไหน ตามความเป็นจริงคือ แม้ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า และเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมจะไม่รู้เลย แม้แต่รูปร่างกายของแต่ละคน ต่างๆ กันไป เพราะกรรมเป็นปัจจัย ที่กรรมนั้นก็เกิดจากกิเลส หลากหลายมากมายพฤติกรรมต่างๆ ก็เป็นส่วนประกอบที่จะทำให้เมื่อกรรมหลากหลาย ผลของกรรมก็หลากหลาย นี่คือ พระธรรมทั้งหมด

    เพราะฉะนั้นการสนทนาธรรม ก็จะทำให้เราได้เข้าใจชีวิตตามความเป็นจริง และก็จะรู้ได้ว่า เมื่อมีความเข้าใจ ชีวิตเราจะเปลี่ยนไป ในทางที่ไม่ติดข้อง ในทางที่ไม่เป็นทุกข์ ไม่เดือดร้อน เพราะรู้ว่า เพราะเหตุใดสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น แทนที่จะถามว่า ทำไมต้องเป็นเรา ก็ต้องเป็นเรา เพราะได้กระทำกรรม คือเหตุที่ได้กระทำแล้ว จะไปเกิดกับคนอื่นได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้ถ้ามีความสนใจ และก็ฟังธรรม ซึ่งประโยชน์มาก ไม่ใช่เสียเวลาเลย เพราะว่าเวลาที่มีอยู่ในโลกนี้ไปฟังเพลง ดูหนัง ดูละคร แล้วได้อะไรที่เป็นความจริงของชีวิต ที่จะรู้จักตัวเองตามความเป็นจริงบ้าง แต่ถ้าฟังพระธรรมตามปกติ ตามศรัทธา ตามกำลัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ดีกว่าไม่ได้ฟัง แล้วก็ไม่เข้าใจเลย ทุกคนชอบความตรงไหม ตรงไปตรงมา ตามเหตุตามผล ตามความเป็นจริง ชอบไหม ถ้าชอบ แม้แต่การที่จะกล่าวคำว่าพุทธัง สรณัง คัจฉามิ มีพระอรหันตสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง จริงหรือยัง ตรงหรือยัง

    เพราะฉะนั้นก็เริ่มจากการที่ว่า เมื่อมีความพอใจที่จะรู้ความจริง และเป็นผู้ตรง ก็ต้องเป็นผู้ตรงว่า กล่าวคำนอบน้อมสักการะผู้ใด ต้องมีความเคารพจริงๆ ในบุคคลนั้น และจะเคารพจริงๆ ได้ ก็ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรม และก็เป็นผู้ที่เข้าใจจริงๆ ในพระคุณ จึงสามารถที่จะเคารพนอบน้อมสักการะอย่างยิ่งด้วย ในพระรัตนตรัย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์สาวก ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ฟังธรรมมาแล้ว และก็ได้เข้าใจจริงๆ ในพระธรรมที่ได้ฟัง

    เพราะฉะนั้นการที่จะเป็นผู้ที่ตรง ก็ต่อเมื่อฟังธรรม และก็พิจารณา แล้วก็จะได้ตรงขึ้นว่า เมื่อนับถือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เคารพ ต้องด้วยการฟังพระธรรมให้เเข้าใจ มิฉะนั้นไม่มีทางเลย กราบไหว้บูชา แล้วบูชาด้วยจิตอะไร ด้วยความนอบน้อมสักการะ ในอะไร ถ้ายังไม่ได้ศึกษา ก็ไม่รู้เลยว่าในอะไร เพียงแต่ได้ยินได้ฟังตั้งแต่เด็ก ว่าเป็นผู้ที่ควรแก่การนอบน้อมสักการะสูงสุด เป็นผู้ที่หมดจดจากกิเลส ไม่มีใครเสมอเหมือนพระองค์ แต่เป็นอย่างไร จะรู้ได้เพียงด้วยการศึกษาเริ่มต้น จนกระทั่งสามารถที่จะเข้าถึงพระคุณได้ แต่ถ้าไม่มีการฟัง ไม่มีการศึกษา เราก็ไม่ใช่ผู้ตรงๆ ตั้งแต่ต้น

    เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ ต้องเริ่มจากการเป็นผู้ตรง สัจจะคือความจริง ซึ่งต้องเป็นผู้ที่มีความมั่นคงด้วย เพราะเหตุว่าเราอาจจะคิดว่า ฟังอย่างอื่นดูจะได้ประโยชน์ เรื่องสุขภาพ เรื่องอะไรก็ตามแต่ คนนั้นก็พูดเรื่องที่เราจะไปใช้ได้ ไปทำมาหากินได้ ได้ทรัพย์สิน ได้เงินทอง แต่ทุกข์ใจหรือเปล่า สิ่งต่างๆ เหล่านั้น สามารถที่จะนำความสุข ความสบายจริงๆ มาให้หรือเปล่า หรือว่ายังคงเดือดร้อนไม่รู้จบ เพราะว่าไม่ได้เข้าใจความจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว ความจริงที่เป็นความจริงที่สุด วาจาสัจจะ จากการตรัสรู้ก็คือว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เป็นธรรม ซึ่งเกิดขึ้นจึงปรากฏ มีได้ตามเหตุตามปัจจัยเพียงชั่วคราว แล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

    ถ้าฟังแล้วต้องไตร่ตรอง ถ้าเห็นว่าเป็นความจริง ก็ฟังต่อไปอีก จนกระทั่งมีความมั่นคงว่า นี่ก็คือชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย จะไม่เป็นอย่างอื่น นอกจากการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

    อ.คำปั่น ก็จะกราบเรียนท่านอาจารย์ ถึงความเป็นไปของชีวิต ของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ก็ยังไม่พ้นจากทุกข์ ซึ่งจะต้องอาศัยการเยียวยาด้วยพระธรรม ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

    ท่านอาจารย์ แพทย์พยาบาล ก็สามารถที่จะช่วยคนที่เป็นโรคกาย ให้พ้นจากความทุกข์ยากทางกายได้ แต่โรคใจแพทย์พยาบาลทำอะไรไม่ได้เลย ใช่ไหม เพราะยังมีกิเลส ด้วยเหตุนี้ก็ต้องทราบ โรคกายเพราะมีกาย แต่ว่าถึงแม้ว่าร่างกายจะแข็งแรง ใจก็เป็นทุกข์เดือดร้อนได้ แม้แต่แพทย์ เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นผู้ที่เป็นแพทย์ที่สูงสุด ประเสริฐกว่าแพทย์อื่น คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะรักษาทุกโรค คนที่จะเป็นแพทย์หรือพยาบาลที่รักษาโรคทางกายอย่างเดียว แต่พระองค์เมื่อรักษาโรคใจ ไม่มีโรคใจ โรคกายจะเป็นทุกข์ได้ไหม เพราะว่าขณะใดก็ตาม ป่วยไข้ได้เจ็บให้ทราบว่า เป็นผลของอกุศลกรรม บางคนแข็งแรงมาก ไม่ได้ป่วยไข้อะไรเลย เพราะกุศลกรรม เพราะฉะนั้นทุกอย่างไม่พ้นจากเหตุ และผล แต่ต้องไม่ลืมว่า ผลของกรรม ก็คือ มีตา หู จมูก ลิ้น และกาย เป็นทางที่จะรับผลของกรรม ถ้าไม่มีตาหู จมูก ลิ้น กาย จะให้รับผลของกรรมทางไหน ก็ไม่ได้เลย

    แต่เพราะเหตุว่ากรรมนี่แหล่ะ สามารถที่จะทำให้จักขุปสาทรูปเกิดได้ ใครก็ทำไม่ได้ นอกจากกรรม ไม่ว่าจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ หรือใครวิเศษจากไหน ก็ไม่สามารถที่จะทำ บันดาลให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดได้ แต่กรรมสามารถที่จะทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าตามข่าวหนังสือพิมพ์ จะเกิดอุบัติเหตุ ภัยพิบัติต่างๆ ใครได้รับผล ใครไม่ได้รับผล กระทบกระเทือนแค่ไหน ก็เป็นไปตามกรรมของแต่ละคน ให้ทราบว่า เมื่อเกิดเป็นผลของกรรม และชีวิตที่จะต้องเป็นไปกว่าจะตายจากโลกนี้ ก็จะมีผลของกรรมทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ขณะไหนที่ปวดท้อง เป็นผลของกรรมอะไร อกุศลกรรม ขณะไหนที่บาดเจ็บ นี่กายอีกเหมือนกัน เป็นผลของอะไร ก็ผลของอกุศลกรรม

    เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว ทุกข์จริงๆ ทุกขะ ทุกขะ ทุกข์แท้ๆ อาศัยกาย โรคตาเกิดเพราะมีตา โรคหู โรคจมูก โรคลิ้น และก็ทั่วทั้งกาย ก็เป็นที่ก่อเกิดของทุกข์ ซึ่งเป็นผลของกรรม แต่ว่าใจสำคัญกว่าหรือเปล่า เพราะฉะนั้นโรคใจ ทรงแสดงไว้ เป็นโรคที่มองไม่เห็น แต่ทรงอุปมาว่า ทุกวันๆ ที่มีความไม่รู้ความจริง เป็นเหตุที่มีความติดข้องต้องการ เมื่อได้ก็จะต้องรักษาด้วยความห่วงใย ถ้าไม่ได้ก็ต้องเป็นทุกข์เดือดร้อน ขวนขวายต่อไปอีกไม่รู้จบ เปรียบเหมือนลูกศร ที่เสียบอยู่ในใจ โดยที่ไม่รู้ตัวเลยทุกวัน แต่ว่าไม่รู้เลย เพราะชินกับความต้องการ แล้วพอได้สิ่งที่ต้องการก็เพลิดเพลิน พอสูญเสียไปก็ต้องโศกเศร้า และมีใครบ้างที่ไม่เคยสูญเสียอะไรเลย มีใครบ้างซึ่งวันนี้ไม่เป็นทุกข์แม้นิดเดียว มีแล้วใช่ไหม ทุกข์ หิวไหม ขณะนั้นก็เกิดแล้วเพราะมีกาย ถ้าไม่มีกาย ก็ไม่ต้องหิว แต่ว่ายิ่งกว่านั้นก็คือว่า ถึงกายจะแข็งแรงสักเท่าไร ใจก็เป็นทุกข์ได้

    ด้วยเหตุนี้ ใจก็เป็นแหล่งที่มาของผล เพระเหตุว่ากรรม ได้แก่ เจตสิก ที่เป็นเจตนาเจตสิก ภาษาไทยเราใช้คำว่า เจตนา แต่ภาษาบาลีคือ เจตนา เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งจงใจขวนขวายที่จะกระทำ ในวันหนึ่งๆ เราจะเห็นความจงใจขวนขวาย ที่เป็นกุศลบ้าง เป็นอกุศลบ้าง แต่ว่าตามความเป็นจริง ผู้ที่ทรงตรัสรู้แสดงความละเอียดยิ่งของนามธาตุ ซึ่งไม่มีรูปร่างใดๆ ที่จะเห็น ปรากฏได้ แต่ก็มีกิจการงานของสภาพธรรมนั้น คือ ทั้งจิต และเจตสิกแต่ละประเภท เช่น เจตนาเจตสิกขณะนี้ ถ้าจะพูดถึงมีรูปร่างไหม ความจงใจ ความตั้งใจ มี แต่ไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่เจตนาก็เป็นกุศลบ้างเป็นอกุศลบ้าง คิดจะช่วยใคร มีความตั้งใจหรือเปล่า เจตนาที่จะช่วยให้เขาพ้นจากความเดือดร้อน นั่นเป็นกุศลเจตนา

    เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจธรรม กุศลจะเกิดได้มาก แล้วถ้ามีความเข้าใจมากขึ้น กุศลก็เพิ่มมากขึ้น แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจ จะไม่เห็นโทษของอกุศลแม้เพียงเล็กน้อย บางคนขยันที่จะช่วยคนอื่น แต่บางคนก็ช่วยตามเวลา ที่จำเป็น หรือหน้าที่ใช่ไหม เเต่ว่ามีน้ำใจมากกว่านั้นไหม ที่จะช่วย ถ้าเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของกุศล โอกาสที่จะทำดีก็จะทำเลย เพราะเหตุว่าขณะใดก็ตามที่ไม่ได้ทำดี เกือบจะไม่รู้เลยว่าขณะนั้น กำลังสะสมอกุศลที่จะเป็นเหตุให้กระทำอกุศลกรรม

    ด้วยเหตุนี้ก็มีโรคหลายอย่าง แต่ก็แบ่งได้เป็น โรคกายกับโรคใจ รักษาแต่กาย แล้วก็กลับมาเป็นอีก เพราะว่ายังมีอกุศลกรรมที่ทำให้กายเดือดร้อน ไม่จบ ตั้งแต่เกิด เกิดมาก็ต้องรักษาโรคเด็ก ใช่ไหม เด็กก็มีโรคเหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็รักษากันไปทุกวัย ไม่ว่าจะเติบโตขึ้นจนกระทั่งจึงชรา และเกิดใหม่ก็ต้องเป็นการที่จะรักษาโรคกายเท่านั้น ไม่รู้จบ แต่ถ้ารู้จักโรคใจด้วย พอที่จะทำให้โรคใจนั้นบรรเทาเบาบาง จนกระทั่งในที่สุด หมดโรคใจ ก็ไม่ต้องมีกายที่จะรักษาอีก ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น


    หมายเลข 11861
    4 ต.ค. 2567