สังขารไม่เที่ยง
อ.อรรณพ ได้ยินกันอยู่บ่อยว่า "สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง" แต่ความลึกซึ้งของพระพุทธพจน์นี้ คืออย่างไร จากการสนทนาธรรม ที่ห้องสุธรรมอารีกุล อาคารสารนิเทศ ๕๐ ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ๓ มกราคม ๒๕๖๒
ท่านอาจารย์ สัพเพ สังขารา อนิจจา แปลว่าอะไร บางคนสวดแล้วก็ไม่รู้คำแปลเลย แต่คนที่รู้คำแปลในภาษาบาลี สัพเพ แปลว่า ทั้งหมด ทั้งสิ้น ทั้งหลาย ไม่เว้นเลย สัพเพ สังขารา สภาพธรรมที่เกิด เกิดเองตามลำพังไม่ได้ แต่ต้องมีปัจจัยที่ทำให้สภาพนั้นๆ เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น สังขารทั้งหลาย ก็เกิดแต่เราไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นปัจจัย ที่เราเกิดมา ตั้งแต่เกิดทุกวันต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างนั้น ไม่รู้เลยว่าเพราะอะไร แล้วก็ต้องจากโลกนี้ไปก็ไม่รู้ว่าอะไร เพราะฉะนั้น ไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริง สิ่งที่มีจริงขณะนี้ มีปัจจัยที่ทำให้เกิดขึ้นมากกว่าหนึ่งปัจจัย อย่างตา ถ้าไม่มีสิ่งใดมากระทบ เห็นก็เกิดไม่ได้ สองปัจจัย แต่ยังมีปัจจัยอื่นกว่านั้นอีก ว่าตาเกิดจากอะไร ใครจะทำให้ตาเกิดได้ไหม แต่ตาต้องเกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย
เพราะฉะนั้น บางคนไม่มีตา ตั้งแต่เกิด เพราะตาบอด หรือว่าเกิดมาแล้วตาก็บอดได้ ธรรมดาตาก็เกิดอยู่ แต่ก็เกิดวันนึง ตาบอด เพราะฉะนั้น ชีวิตทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีใครรู้ว่าเพราะอะไร แต่ได้ยินคำว่า สัพเพ สังขารา อนิจจา เหมือนรู้ ใช่ไหม แต่พอแปลเป็นภาษาไทยว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง อนิจจา ได้ยินบ่อยๆ อนิจจังก็ได้ยิน ไม่เที่ยงใช่ไหม แต่ว่าพูดแล้วท่องแล้ว แม้แต่สังขารก็ไม่รู้ และอนิจจาแล้วยังสัพเพ แล้วยังไม่รู้เดี๋ยวนี้เป็นสังขาร สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิด สิ่งนั้นแหล่ะเป็นสังขารธรรม ธรรมที่อาศัยปัจจัยปรุงแต่ง เกิดขึ้นทั้งหมดเลย ทุกวัน ทุกอย่าง ทุกขณะ ไม่เว้นเลย สัพเพสังขารา อนิจจา
เพราะฉะนั้น ถ้าแปลจากภาษาบาลีเป็นภาษาไทย เหมือนชาวมคธ เขาพูดภาษามคธี ซึ่งเป็นภาษาที่พระผู้มีพระภาคตรัส แสดงธรรม เราใช้คำว่า ปาละ หรือบาลี คือ ดำรงรักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ก็คือภาษามคธี เพราะฉะนั้น ชาวมคธ แคว้นมคธ ได้ฟังธรรม สัพเพ สังขารา เขาพูดกันแล้ว ใช่ไหม เหมือนเราบอกว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง แต่เราก็ไม่รู้ว่า สังขารทั้งหลายคืออะไร และไม่เที่ยงคืออะไร เราคิดว่าเกิดแล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย ไม่เที่ยง แต่ว่าความจริง เกิดแล้วดับไปไม่เหลือเลย และไม่กลับมาอีกต่างหาก
เพราะฉะนั้น คำแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลึกซึ้งกว่าที่เราคิด แต่เราก็นั่งพูดคำที่เราไม่ได้เข้าใจ นั่นไม่ใช่บุญ เพราะฉะนั้น บุญคือสภาพธรรมที่เข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริง ธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก กำลังเกิดดับสืบต่อ เร็วสุดที่จะประมาณได้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงของแต่ละหนึ่งธรรมโดยละเอียดยิ่ง เช่นรูปธรรม ตัวเราทั้งตัว มีอากาศธาตุแทรกอยู่อย่างละเอียดที่สุด พร้อมที่จะแตกทำลายละเอียดยิบ แต่แม้กระนั้น ย่อยลงไปให้มองไม่เห็นหรืออย่างไรก็ตาม
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงว่า ธรรมขณะที่เกิดเล็กที่สุด ก็คือต้องมีมหาภูตรูป บางคนก็ได้ยิน รูปซึ่งเป็นใหญ่ มหาภูตรูป ถ้าไม่มีมหาภูตรูป ซึ่งเป็นใหญ่ รูปอื่นเกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้น เพียงคำว่ามหาภูตรูป แค่นี้ คนฟังสามารถที่จะรู้ได้ ถ้าเขาเคยฟังมาก่อน นานมากในสังสารวัฎฎ์ว่า มหาภูตรูปเป็นใหญ่ หมายความว่า ต้องมีรูปอื่น จึงได้กล่าวว่า มหาภูตรูปเป็นรูปซึ่งเป็นใหญ่ ซึ่งรูปอื่นไม่ใช่รูปที่เป็นใหญ่ เพราะฉะนั้น แต่ละคำต้องอาศัยการฟัง และเห็นคุณที่ว่า เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งยากที่จะเข้าใจได้ แต่ถ้าเข้าใจได้ ไม่ลืมเลย สะสมอยู่ในจิต
เพราะฉะนั้น ขณะนี้เราไม่รู้ว่าการฟังธรรม ความเข้าใจนั้นไม่หายไปไหนเลย และถ้ามีความเข้าใจจริงๆ จะสืบต่อไปไม่มีวันที่จะลืม แต่ว่าจะเพิ่มความเข้าใจละเอียดขึ้นอีกมากทุกคำ ประมาทไม่ได้เลย เช่น แม้แต่คำว่า สัพเพสังขารา อนิจจา ถ้ายังไม่เข้าใจว่า หมายความ ถึงเดี๋ยวนี้ สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้นี่แหล่ะ มีปัจจัยทำให้เกิดขึ้น สัพเพ สังขารา อนิจจา ดับแล้ว ไม่กลับมาอีก เพื่อที่จะรู้ความจริงว่า ไม่มีเรา
เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรม คือเพื่อรู้จักธรรม ว่าเป็นธรรม เข้าใจธรรมเมื่อไหร่ ทุกคำที่เข้าใจถูก มีอยู่ในพระไตรปิฏก ไม่ว่าจะเป็นส่วนของพระวินัยปิฏก พระสุตตันตปิฏก หรือ พระอภิธรรมปิฏก